Valium คือวงดนตรีอินดี้ป๊อปจากเชียงใหม่ที่รวมตัวกันจากห้องชมรมดนตรีเล็กๆ ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึงแม้เราไม่ค่อยได้เห็นเพลงของเขาติดชาร์ทในสตรีมมิ่ง หรือเล่นตามเทศกาลดนตรีใหญ่ๆ และวิ่งโปรโมทเพลงของเขาตามสื่อกระแสหลัก แต่ในจักรวาลเพลงนอกกระแส เพลงของพวกเขาก็เดินทางไปหาผู้คนที่ฟังเพลงพวกนั้นและเริ่มคล้อยตามฝันของคนหนุ่มเหล่านี้ สห(สอ-หอ)-สหชัย ทุมสงคราม นักร้องนำและกีตาร์, เกื้อ-สราวุธ คันธมาทน์ มือกลอง และภีม-ปณิชา ทองสุข มีอกีตาร์ คือสามนักฝันที่ใช้เพลงอินดี้ป๊อปเป็นเอกลักษณ์เด่น ไม่ว่าจะเพลงไหนของเขาที่มีกลิ่นป๊อปแบบเฉพาะตัว ก็น่าจะทำให้คุณหลงรักเขาได้ง่ายๆ เราเคยคุยกับเขาไปแล้วครั้งหนึ่งประมาณปลายปีที่ผ่านมา ตอนที่ Valiumboys มีสมาชิก 4 คน ณ ตอนนั้นเรามองว่าเขาคือสี่สหายที่มีความฝันเดียวกัน เชื่อในเรื่องเดียวกัน และน่าจะไปต่อบนเส้นทางสายดนตรีได้ดีมากๆ เพราะเราคุยกับเขาหลังจากที่เขาเพิ่งแสดงสดในร้านกินเที่ยวกลางคืนใหญ่ในนครพิงค์ หรือการเดินสายโปรโมทเพลงของเขา แถมยอดวิวในยูทูปก็ขึ้นสูงเรื่อยๆ แต่วันหนึ่งเราได้รับโทรศัพท์จาก สห ว่า Valium กลับมีความเปลี่ยนแปลงที่หนึ่งในสมาชิกหายตัวไป เราจึงนัดหมายพวกเขาใหม่เพื่อสัมภาษณ์พวกเขาอีกครั้ง ซึ่งจริงๆ เขาเพิ่งไป Featuring กับวงอินดี้นิ้งๆ อย่าง Door Plant ในชื่อเธอคนนี้ (It’s You) มาด้วยซ้ำ แถมเพลงใหม่ที่เพิ่งปล่อยเมื่อสัปดาห์ก่อนอย่าง Miss You So! ก็เริ่มเป็นที่ถูกพูดถึงในสตรีมมิ่งและเพจของนักฟังเพลง จึงเป็น สห กับเกื้อที่รับนัดหมายครั้งนี้เพื่อสนทนาถึงความเปลี่ยนแปลง ความเป็นไป และการรับมือกับการรอคอยที่ไม่รู้ว่าจุดหนึ่งเขาจะมีเพลงไม้ตายที่ทำให้เขามีชื่อเสียงได้ในวันไหน แต่เขายืนยันกับฉันตลอดบทสนทนา ว่าอย่างน้อยการเป็น Valiumboys ก็คือความสุขอย่างหนึ่ง พวกคุณเจอกันได้ยังไงสห: ถ้าเป็นตั้งแต่แรกเริ่มต้นจากที่พวกเราเป็นเพื่อนกันก่อน ก็คือเรากับเกรท (สิรภพ คูณเจริญสุข-อดีตสมาชิก) ที่เป็นเพื่อนกันที่โรงเรียนจังหวัดแพร่นะ พอมาเข้ามหาลัยเพื่อนก็อยู่ชมรมดนตรี เกรทก็ชวนเราเข้ามาตอนที่เราซิ่วมาเรียน มช. ก็เป็นปีหนึ่งใหม่อีกรอบ เราก็เป็นคนชอบแต่งเพลงอยู่แล้ว ก็เลยบอกเกรทว่าเราอยากทำเพลงแบบนี้ว่ะ ทำด้วยกันมั้ย ตอนแรกมันก็เลยเริ่มเป็นสองคนก่อน หลังจากนั้นก็ทำเพลงประมาณนึงได้สัก 2 เพลงก็เลยรู้สึกว่า ถ้าจะเล่นสดมันก็ต้องหาสมาชิกเพิ่ม ก็เลยประกาศหาคนที่ชมรมดนตรีสากล ก็เลยได้น้องภีมเป็นมือกีตาร์ กับน้องอีกคนที่เป็นมือกลอง หลังจากนั้นก็ได้ 4 คนพอดี ปีที่แล้ววงก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นคือ มือกลองคนเก่าออกไปแล้วก็ได้น้องเกื้อเข้ามา แต่ว่าน้องเกื้อเรารู้จักกันอยู่แล้วที่โรงเรียนที่จังหวัดแพร่ พวกคุณได้รับอิทธิพลการทำเพลงพวกนี้จากใคร หรือมันเป็นความชอบของพวกคุณอยู่แล้วสห: จริงๆ ก็จากสิ่งที่เราฟัง ที่เราชอบเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าทุกคนที่ฟังเพลงวงเราก็จะมีคอมเมนต์ว่าเหมือน boy pablo จัง มันก็ถูกต้องส่วนหนึ่งเพราะเราชอบ boy pablo เหมือนกัน ส่วนมากก็จะเป็นวงต่างประเทศหรืออื่นๆ เช่น her’s, no vacation, diiv, why nothing เจตนาแรกที่ทำวงนี้คืออะไรสห: อยากมีเพลงเป็นของตัวเอง ไม่อยากเล่นเพลงคนอื่นแล้ว สำหรับ สห มีวิธีคิดนี้มาตั้งแต่ ม.ต้น ละ ม.1 เลย เกื้อ: ของผมก็อยากมีเพลงเป็นของตัวเองนะ อยากเล่นน่ะ ก็คือเริ่มหัดเล่นดนตรีมาก็แกะแต่เพลงคนอื่น อย่างน้อยคนที่เป็นนักดนตรีก็ต้องคิดไว้แล้วว่าอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง ไม่ต้องคิดว่าคนต้องฟังเยอะ แต่จริงๆ ก็ เออ ฟังกูหน่อย ก็อยากให้คนอื่นรู้จัก มันคือความสุขแรกแค่ว่า ได้ยินเพลงของตัวเองข้างนอกหรือมีคนพูดถึงเพลงของเรา แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ตอนไปเล่นตามงานต่างๆ เคยมีคนเดินมาทักมั้ยสห: ก็มีครับ อันนั้นเราว่าการที่มีคนมาบอกว่าชอบงานเรามันก็ดีใจนะครับ ต่อให้สมมติว่างานนั้นมันมีทาร์เก็ตชัดเจนเลย เราเป็นวงเปิดเนาะ วงนั้นเค้ามีชื่อเสียงมากๆ เรารู้เลยว่าคนที่มาดูน่ะ เค้าไม่ได้มาดูเราหรอก เค้าก็มาดูสามวงนั่นแหละ แต่เราก็เล่นให้คุ้มค่ากับที่เค้าเลือกเราไปอะ อย่างน้อยเค้าจะฟังไม่ฟังเราก็ไม่รู้นะ แต่ถ้ากลับไปแล้วเค้ากลับไปฟังเพลงเรา ถ้าเค้ามาบอกเราก็รู้สึกดีใจ คุณเพิ่งได้ฟิตเจอริ่งกับวงที่มีชื่อเสียงอย่าง Door Plant การที่มีเพื่อนนักดนตรีด้วยกันมาเห็นความสำคัญหรือสนใจในงานของคุณ เรื่องนี้บอกอะไรบ้างสห: ย้อนกลับไปเล่าก่อนว่าที่วงทักมาหาเราในเคสนี้คือ ชอบเพลงเราอยู่แล้ว แล้วชอบเพลงเรามากๆ เค้าก็ไปตามหาเราเลย ไอจีวง ไอจีส่วนตัว แล้วเค้าก็ทักเรามา ตอนที่น้องเค้าทักมาก็ถามตรงๆ ว่า โอเค ในแง่ชื่นชอบงานก็เป็นเรื่องนึง แต่นี่ก็ถามไปคำถามนึงว่า น้องก็เป็นวงที่ดังประมาณนึงแล้วนะ แล้วก็จะขึ้นไปอีก แล้ววงพวกกูไม่ดังเลยนะ อยู่ในฐานะวงหน้าใหม่อีกกี่ปีไปก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่น่าดังไปกว่านี้ ทำไมถึงเราอยากฟิตด้วย ส่วนใหญ่การฟิตกันต้องเป็นวงที่ดังหรือมีชื่อเสียงพอสมควรอยู่แล้ว เพราะว่าฟิตกันปุ๊บก็จะส่งเสริม ขยายตลาดกลับมาอีก ก็ถามน้องเค้า น้องเค้าก็อยากร่วมงานด้วยในแง่เคสน้องนะ น้องอยากร่วมงานเฉยๆ ไม่มีอย่างอื่นเลย มันบอกได้ประมาณหนึ่งว่าสิ่งที่เราคิดกันมาสามคนสี่คน เพลงที่เราทำ เพลงที่เราชอบมันก็ดีในตัวของมัน ก็คือเราทำวงมาเรายังไม่เคยคิดถึงจุดที่เราต้องไปฟิตเจอริ่งกับคนอื่น เกื้อ: ใช่ ที่ทำตอนแรกคือแม่งไม่มีความคิดในหัวว่าต้องมีสักเพลงนึงฟีต หรือไปแบกหน้า “ช่วยมาฟิตเจอริ่งกับผมหน่อย” ล่าสุดวงนี้เพิ่งมีความเปลี่ยนแปลงเรื่องสมาชิก ปัญหาเกิดจากอะไรแล้วหาทางออกร่วมกันยังไงบ้างสห: เรารู้สึกว่าเพลงที่ทำอยู่แล้วไม่ได้ปล่อยเราก็ไม่ค่อยพอใจกันซักที รู้สึกว่าขนาดคนทำเพลงตัวเองยังไม่แฮปปี้กับเพลงตัวเองเลย เรายังไม่ชอบเพลงตัวเองเลย คนที่ฟังก็อาจไม่ได้ชอบเหมือนเรา มันต้องเอาที่เราชอบก่อน พอโอกาสตรงนี้หลายๆ อย่างมา มันจะเข้าปีใหม่ละ ก็เลยคุยกันจริงจัง แก้ปัญหาวงก่อนว่า วงเรามีปัญหาอย่างนี้ๆๆๆ จะทำยังไงต่อไปดี ก็เคลียร์กัน โหวตกันไป สุดท้ายก็เป็นเรื่องทัศนคติกับแนวเพลงไม่ตรงกันก็เลยมีการแยกทางกัน แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ แต่เรื่องนี้มันต้องตัดสินใจเพราะเป็นเรื่องงาน ในช่วงเวลาที่ทำวงดนตรีก็เหมือนธุรกิจที่ต้องวัดใจหุ้นส่วน การคัดคนเข้าออกจนเหลือสมาชิกจำนวนหนึ่งที่ค่อนข้างมั่นใจกันว่าเราจะทำงานกันต่อได้ มีความหมายกับคุณยังไงเกื้อ: สำหรับเรื่องนี้ผมว่ามันเป็นที่จังหวะแล้วยังไงทุกคนก็ต้องมีความคิดของตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่าเรายังเสียเวลาหาจุดกึ่งกลางระหว่างกัน ในเมื่อคนหนึ่งอยากให้งานเป็นอย่างนี้ คนหนึ่งอยากมีอันนี้ แต่เราคุยกันแล้วไม่คลิก อย่างน้อยเราที่คุยกันถ้าทิศทางยังไม่ไปในทางเดียวกัน เราก็ต้องคิดแล้วว่าสิ่งที่เราคุยกันไป มันผิดที่ตัวเราหรือผิดที่ตัวของเค้า แล้วก็ต้องคุยกันแล้วก็ต้องโหวตกัน เรื่องการเข้าออกมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วอะครับ เรื่องคนทำงานนี่แหละ มันก็ เข้าออกมัน มันก็ไม่มีปัญา ไม่มีใครซีเรียสขนาดนั้นอยู่แล้ว เพราะว่าเราดูที่รูปงานมากกว่า เพราะถ้าเกิดปัญหานี้มันยังไม่เคลียร์ มันยังเรื้อรังอยู่ มันอาจจะส่งผลในระยะยาวก็ได้ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ทำไมถึงมองว่าเรื่องนี้สำคัญสห: ส่วนตัวมองว่าวงๆ วงนี้มันยังทำงานบนความสุขอยู่ มันยังไม่ได้มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง อยากให้ทุกคนรู้สึกว่าทำวงนี้แล้วสบายใจที่จะทำอยู่ ไม่อึดอัด ยังชอบในสิ่งที่เราช่วยกันทำอยู่ คือมันยังไม่ได้มองถึงเรื่องเงินนะ แต่ความสบายใจมันคือที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนในวงสบายใจที่จะพูดว่าเราชอบ-ไม่ชอบ อะไร ต่อให้อีกคนนึงพูดว่าไม่ชอบ เราอาจจะมีหลังไมค์บ้างก็ได้ ไปคุยกันส่วนตัว มันก็จะได้รู้ความในใจจริงๆ มากกว่า ยิ่งเราสบายใจกันที่จะพูดมากกว่าเท่าไหร่ มันก็ทำให้งานของเราออกมาดีมากเท่านั้น เพราะว่าวงนี้มันยังยืนพื้นเรื่องความสุขอยู่ เกื้อ: บางอย่างมันยืนพื้นที่ความชอบ ความสุขของแต่ละคน คือมันก็คือตัดเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเรื่องเงินอะไรออกไป ถ้าเกิดมีเรื่องนั้นเข้ามาจริงๆ ระบบการทำงานก็อาจจะเปลี่ยนไป ก็แค่มาทำงานแล้วก็กลับไป ไม่ต้องสนใจอะไรก็ได้ ในเมื่อเรามาทำดนตรีแล้วแบบ ความชอบกับความสุขของเราไปในทิศทางเดียวกัน เหมือนเราก็ต้องซื่อสัตย์กับตัวเชื้อเพลิงตอนแรก เราจะทำเพลง ทำวง เพราะว่าอะไร เราชอบมันไง เราถึงได้ทำ ยุคนี้สมัยนี้คนทำเพลงต้องทำเพลงแบบ Killer ให้เกิดเพลง One Hit Miracle การทำงานลักษณะขายแบบนี้มันกร่อนหัวใจคนทำงานมั้ยทั้งคู่: (ตอบทันที) กร่อน สห: ต่อให้เป็นวงที่ดังมากๆ แมสมากๆ ในแง่คนทำวงเนี่ย เค้าก็รักทุกเพลงของเค้า เค้าก็อยากให้ทุกเพลงของเค้าดังแหละ แต่มันก็น้อยใจแหละว่าทำไมเล่นเพลงอื่นที่ไม่ได้ดัง ถ้าไม่ใช่เพลงที่เป็นคีย์ที่ทำให้เค้าดังมันก็มีน้อยใจนิดนึง แต่ว่าทำไงได้ล่ะ ถูกมั้ย ให้เลือกระหว่าง One Hit Miracle มีเพลงเดียวแล้วดังตลอดทั้งเดือน กับไปในจุดที่เราขอแค่ยืนฟังจริงๆ แต่ยังไม่ดัง แบบไหนมันดีกว่ากัน หรือพวกคุณกำลังฝันหาอะไรสห: ถ้าสำหรับตอนนี้เราคิดว่าอยากให้มี One Hit Miracle ก่อน เพราะว่าถ้ามันมีแล้วถ้าเพลงมันดังมาก เราก็จะมีฐานแฟนเพลงมากขึ้น แล้วเรารู้สึกว่าถ้าปล่อยเพลงต่อๆ ไปแล้ว เพลงต่อๆ ไปมันก็จะได้กระแสได้ไม่ยาก อันนี้เรามองเชิงธุรกิจเลยนะ การที่ผู้ประกอบการจะเลือกเราไปมันต้องขึ้นอยู่กับยอดวิวอยู่แล้ว ทำให้เราขายงานได้มากขึ้น แต่เรารู้สึกว่าวงเราเป็นคนที่ทำเพลงจริงจัง แล้วก็ฟังเพลงจริงจัง เรารู้สึกว่าต่อให้วงเราจะดังมากๆ หรือไม่ดังเลย เราก็ยังจะทำเพลงที่เราชอบอยู่ว่าเราจะทำเพลงขายด้วย ไม่ค่อยอยากจะเสียตัวเองไป คือวงเราอะ รู้สึกว่าในตลาดไทยมันยังไม่มีวงแบบนี้ ถ้าวงอยากแมสจริงๆ ต้องเขียนเนื้อเพลงที่ยาวมากๆ ในท่อนหนึ่ง เล่าๆๆๆๆ แล้วก็ตีหัวคนเหมือนป๊อปทั่วไป แล้วก็ต้องตั้งชื่อเพลงที่ตีหัวเข้าบ้านแล้ว แต่เราก็ยังไม่อยากถึงขนาดนั้น เพราะเราอยากให้คนมาฟังเพลงจริงๆ ต้องรู้สึกคลิก เกื้อ: เพราะเราอยากให้ตัวเพลงมันทำงานอยู่ในหน้าที่ของมันไปเลย คือ ในเมื่อเราทำเพลงออกมาแล้วองค์ประกอบในตัวเพลงทุกอย่างมันมีหน้าที่ของมันเรียบร้อย คือมันระบุแค่ว่าคนฟังเป็นยังไง ต้องพยายามจับใจความหรือเข้าใจเนื้อหาที่เราสื่อออกมา เหมือนบังคับให้เค้าจำเป็นต้องเข้าใจในสิ่งที่เราทำ สห: แต่ถามว่าการทำอย่างนั้นมันผิดมั้ย ไม่ผิดเลยนะ ทุกคนทำเพื่อความอยู่รอด การที่คุณทำวงนี้ คุณอยากให้วงดัง อยากทำเพลงที่ตัวเองชอบแล้วคนมีความสุข หรือทำได้ทั้งคู่สห: ฟังนะ คนที่ทำวงน่ะ ร้อยทั้งร้อยอยากดังทั้งนั้น เกื้อ: ใช่ สห: ทำวงอยากดัง ต่อให้จะบอกว่า “ผมทำเพลงเพราะชอบ” ลึกๆ ไม่ใช่ลึกๆ หรอก ก็อยากดังทั้งนั้นแหละ นอกจากว่ามึงเงินเหลือจริงๆ แล้วก็ทำเพลงแบบไม่ได้แคร์ บ้านรวยอยู่แล้วก็ทำไป ทำเล่นๆ ทุกคนมันต้องการดังอยู่แล้วแหละ ต่อให้วงต่างประเทศมันก็อยากดังหมดแหละ เพราะต้องยอมรับว่าเงินมันคือปัจจัยสำคัญของทุกอย่าง ถ้าเรากินอิ่มนอนหลับ มีเงินไปซื้ออุปกรณ์ งานเราก็ดีขึ้น มีความคิดดีขึ้น ยิ่งเราได้เจอคนมากๆ มีโอกาสได้ไปหลายๆ ที่มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เพลงเราก็ทำให้คนมีความสุข เกื้อ: อันนี้ยกตัวอย่างเมื่อวานเลย มีแฟนคลับ ขอเรียกว่าแฟนคลับที่เค้าฟังเพลงเราแล้วเค้าทัก dm ส่วนตัวผมมา แบบ หนูชอบเพลงพี่นะคะ จะคอยติดตามสนับสนุนวงพี่ไป ผมก็แค่ ตอบกลับเหมือนตอบนอกประเด็น แต่เราสรุปมาแล้วว่า เออ ขอบคุณนะครับ แต่เราก็คิดถึงงานเล่นสด เราอยากเจอคนดู เราอยากมีปฏิสัมพันธ์กับทุกคน ไว้เรามีเล่นสดแล้วเรามาสนุกด้วยกันอีกนะครับ นี่คือสิ่งที่ผมตอบเขาไป สห: ปีที่แล้วเรารู้สึกขอบคุณงาน Future Fest ของพรรคอนาคตใหม่ (ปัจจุบันคือพรรคก้าวไกล) ที่เค้าให้โอกาสวงหน้าใหม่ได้ไปเล่น วงเราก็ได้ไปเล่น เราก็เล่นเพลงตัวเอง ไม่ได้โคฟเวอร์เลย พอลงเวที ก็มีลุงแก่มากๆ อายุ 50 ขึ้นเดินมาคุยเลยว่าเค้าชอบเพลงวงเรามาก ซึ่งเราก็ทำเพลงให้วัยรุ่นฟังอะ เราก็ไม่คิดว่าคนอายุเยอะจะมาฟังเพลงวงเรา มันก็เป็นไฟที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราควรจะขยันออกเพลงมากกว่านี้ถ้าอยากจะดัง ถ้าเราไม่ขยันออกเพลงมันก็จะเป็นแบบเดิม การทำวงดนตรีมันมีต้นทุนทั้งการทำเพลง เข้าห้องอัด ทำมิวสิกวิดีโอ หรือการเดินทางไปเล่นงานต่างๆ ถ้าคิดว่า Valium คือธุรกิจชนิดหนึ่งที่มีการลงทุนและมีผลกำไรกลับมา ธุรกิจนี้กำไรหรือขาดทุนสห: (ตอบทันที) ขาดทุน (เน้นเสียง) ยับ แต่มันเป็นในแง่ที่เรายังพอมีกำลังที่ไม่ได้ใช้ค่าใช้จ่ายเยอะเกินตัว เราคุยกับวงว่าอันไหนที่เราทำได้เองจริงๆ ก็ทำเลย อันไหนที่ต้องพึ่งตังค์ไปจ่ายก็จ่าย เพราะเกินความสามารถของเราละ ส่วนเรื่องเอ็มวีเราอยากให้ไม่ต้องลงเงินกันเยอะ อย่างเอ็มวีที่ปล่อยไป เราคิดไอเดีย คิดรูปแบบตามปัจจัยสถานการณ์โควิด แถมวงก็ไม่ได้ตังค์กันขนาดนั้น ก็ให้พระเอกนางเอกถ่ายลงสตอรี่ไปเลย ง่ายๆ เราไม่ได้เสียเงินสักบาทกับค่าเอ็มวีเลยนะ ก็ขอฟุตเทจจากนักแสดงส่งมามานั่งตัดเอง แล้วก็ปล่อย แต่ก็อยู่ที่ทาร์เก็ตของแต่ละวงด้วยว่าอยากลงโปรดัคชั่นกับค่าเอ็มวีมากมั้ย แต่วงเราคือหลักๆ ไม่ค่อยมีเงินหนากันอยู่แล้ว ไม่มีเงินขนาดนั้น เพราะมันเป็นธุรกิจก็ต้องมาคิดกันว่าจะทำยังไงที่จะเซฟค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ไปถึงจุดที่งานมันโอเค ไม่ได้น่าเกลียด เพราะเราเคร่งเรื่องงานกันพอสมควร ในทุกวันนี้ที่ทำวงกัน พวกคุณเริ่มท้อ กดดัน หรือตั้งคำถามกับความพยายามของเราหรือกัดกินหัวใจบ้างมั้ยเกื้อ: เหตุการณ์ล่าสุดเลยที่ผมคุยกับสมาชิกในวงคือพี่ สห กับภีม ผมรู้สึกว่าตัวผมยังรู้สึกไม่ดีกับตัวเองด้วยเรื่องการเรียน เรื่องครอบครัวด้วย มันเหมือนมันมารุมที่ผมแล้วผมรู้สึกว่า ถ้าผมรู้สึกไม่ดีกับเรื่องอะไรสักอย่างแล้วมันมีผลกระทบต่อตัววงหรือเรื่องงาน หรือในตอนนี้ล่าสุดผมทักไปว่าขออาจจะพักงานสักเดือนสองเดือน มันรู้สึกไม่ดี ในเมื่อเรายังไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไรสักอย่าง เราไม่อยากฝืนตัวเราและไม่อยากให้คนในวงมารู้สึกที่หลังว่าทำไมรู้สึกแปลกๆ มันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชิ้นงานในตอนนั้นอาจจะทำได้ไม่ครบหรืออาจจะติดขัดอะไร ใจจริงก็อยากพักนะเพราะดูทรงแล้วแบบ เหี้ย ทำมาจะครบปีแล้วมันยังไม่เดินไปข้างหน้า มันเป็นความคิดด้านลบส่วนตัวของผม มันอาจจะไม่ใช่ความคิดของพี่ สห หรือพี่ภีม เราไม่อยากเอาที่เราเจอไปให้เค้า สห: ถ้าในแง่ที่ทำแล้วไม่ดังใช่มั้ย มันท้อมั้ย มันก็ท้อแหละ ท้อเลยแหละ เรารู้สึกว่าบางวงที่เค้าดังมากกว่าเทียบวงเรา กับเพลงเรา เรารู้สึกว่ามันเหมือนกันเลย แต่ทำไมโอกาสเค้าได้ดีกว่าเราวะ เค้าทำแม่งยังไม่ถึงปีแต่ไปไกลแล้ว ยอดวิวเท่านั้นเท่านี้แล้ว ส่วนนี่ท้อแต่รู้สึกว่าเรายังอยู่ช่วงวัยนี้ ยังรู้สึกว่าถ้าขึ้น 30 วิธีคิดอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ อาจจะพอแล้ว อย่างน้อยก็ได้เต็มที่ ถ้าไม่ดังก็กลับไปทำงานเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว มันอาจจะต้องพอตรงนี้ แต่เรารู้สึกว่าเรายังพอทำได้อยู่ ทำไปเถอะ ดังไม่ดังก็ไม่รู้แหละ แต่ก็รู้สึกว่าเราอยากทำ ทำไปเรื่อยๆ เพราะตอนนี้เรายังมีไฟ เราก็ไม่รู้ว่าโอกาสต่างๆ มันอาจจะยังซัพพอร์ทเราอยู่ เราก็ทำไปเถอะ เคยคิดมั้ยว่าทำวงนี้มันเสียเวลาสห: ไม่เสียเวลา เพราะมันคือสิ่งที่เรารัก เราชอบ ทุกอย่างที่เราทำไปไม่ว่ามันจะเป็นแง่ให้ผลดีหรือผลลบ มันจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เรารู้ว่าสเต็ปต่อไปหรือการวางแผนมันก็จะส่งผลดีต่อเรา แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเลย เงินอาจจะดีกว่านี้ก็ได้แต่อันนั้นมันเสียเวลาชีวิตมากกว่า เพราะถ้าไม่โอเคแล้วก็จะไม่มีอะไรดีต่อทั้งสองฝ่าย ความคิดความอ่าน ฝีมืออาจจะไม่พัฒนา แต่เราจะค่อยๆ เรียนรู้ไป อย่างเพลงล่าสุดนี่รู้สึกว่ามันใช้เวลาทำน้อยมากเลยนะ เรางัดเอาสกิลทุกอย่างออกมาใช้กับเพลงนี้ เหมือนงานไฟมันลนก้นแล้วเลยคิดอยู่ว่ามีอะไรที่มีอยู่ก็ต้องงัดเอาออกมาให้หมดแล้ว สุดท้ายเรารู้สึกว่าไม่รู้สึกเสียดาย เสียเวลาเท่าไหร่ เพราะเรารู้สึกว่าอยากเป็นคนที่อยากเพลงเรื่อยๆ ต่อให้จะต้องเสียน้องเกื้อ น้องภีมก็ตาม เรายืนยันว่าจะทำต่อไป เกื้อ: ไม่เสียดายนะฮะ เพราะว่าอย่างช่วงตีหนึ่งคืนก่อนที่เพลงนี้ที่จะปล่อย คือเราพอมิกซ์มาอะไรปุ๊บ มันมีความรู้สึกที่ว่าผม ภีม พี่ สห อยากปล่อยวันนั้นเลย มันเป็นเหตุผลที่กูเข้ามาจะครบปีนึง มันไม่ทำให้รู้สึกว่าเสียเวลาหรือเสียโอกาสอันอื่น ในเมื่อเรามาอยู่วงนี้แล้วไม่ทำให้รู้สึกว่าเสียเวลา รู้สึกว่าที่เราอยู่มาตลอดมันช่วยกันทำงาน มันเป็นเวลาแห่งความสุข เวลาแห่งโอกาสที่เราจะได้อยู่ด้วยกันแล้วเราจะได้ทำงาน ทำสิ่งที่ตัวเองชอบไปเรื่อยๆ ผมว่ามันไม่มีเรื่องเสียโอกาส เสียเวลา เพราะว่าทุกคนได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ เรื่องเวลา เรื่องต่างๆ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก ไม่รู้สึกว่าเราเสียเวลาที่จะทำสิ่งเหล่านั้นไปเลย มันเป็นเวลาที่เหมาะที่เราจะได้ทำสิ่งที่ชอบ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว มันไม่มีคำว่าเสียเวลากับสิ่งที่เราชอบเลย สห: สรุปง่ายๆ เลยว่าถ้าเราชอบหรือรักสิ่งไหน ต่อให้ลงแรงลงกายไป ก็อย่างที่น้องเกื้อบอก ถ้าเรารักเราชอบแล้ว ไม่มีคำว่าเสียเวลา ถ้าสรุปการทำวงนี้เป็นบทเรียนได้คนละหนึ่งข้อ การทำวง Valium สอนให้รู้ว่า
สห: เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่าเส้นทางต่อไปข้างหน้าเราต้องเสียใครไปอีกมั้ย แต่เรามองในแง่ความต้องการของตัวเองก่อน ถ้าเราต้องการเดินต่อไป หรือว่าทำกับ 3-4 คนแล้วไม่รอดก็ เราอาจจะเดินไปตามทางของเรา ดังนั้นคือเดินต่อไปเหอะ ตามที่ตัวเองชอบ โอเคและดีกับตัวเองที่สุด
เกื้อ: เรื่องการเรียนรู้ครับ เพราะมันคือเส้นทางของโอกาส มันคือเส้นทางสำหรับทุกๆ อย่างเพื่อที่จะทำให้เราเจอสิ่งใหม่ๆ ก็คือ สรุปแล้วก็คือ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเรียนรู้ในสิ่งที่เราเคยเจอ |