สาดสีบนถนน ประมูลงานศิลปะหน้าสถานีตำรวจ บอมบ์ทรัพย์สินในมหาวิทยาลัย เปลื้องผ้าเล่นละครต่อหน้าธารกำนัล แขวนสูทเปื้อนสีที่ตัวเองได้รับจากการเป็นองค์การนักศึกษาบนต้นไม้ อ่านกวีอย่างดุเดือดบนเวทีชุมนุม และล่าสุด-นอนขวางรถยนต์ที่กำลังจะเอางานศิลปะของเขาและเพื่อนๆ ไปทิ้งโดยไม่มีความชอบธรรม ทั้งหมดนี้คือวีรกรรมการแสดงออกทางการเมืองของรามิล-วิธญา คลังนิล จริงๆ ก็ยังมีอีกมาก แต่แค่นี้เราคงเห็นในความเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ต่อจุดยืนของเขาแล้ว เราเคยพูดถึงเขาไปครั้งหนึ่งแล้วในบทบรรณาธิการที่เขาถูกดำเนินคดีจากสิ่งที่เขาเชื่อและลงมือทำมาตลอด และสารคดีสั้นๆ ที่เราคุยกับเขาถึงการถูกคุกคามโดยผู้มีอำนาจจากการใช้ศิลปะการละครเป็นเครื่องมือ ซึ่งใครที่สอดส่องข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมของราษฎรหรือเยาวชนอะไรก็ตามที เราจะเห็นรามิลอยู่ในกระบวนการเรียกร้องด้วยเครื่องมือที่ต่างกันเสมอ หากต่อให้เครื่องมือจะต่าง แต่เจตนามีอย่างเดียว สำหรับเราแล้วรามิลไม่ใช่คนอื่นคนไกล เพราะนับตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาเพิ่งว่างมานั่งคุยกับเราถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด และตามประสา-มานั่งถอดบทเรียนและคุยถึงชีวิตในก้าวต่อไปของเขา แต่ก่อนเราจะทิ้งตัวลงบนโซฟาและนั่งคุยกันด้วยท่าทีของคนที่รักใคร่ชอบพอและเป็นกำลังใจให้กัน รามิลขอตัวออกไปอย่างเร่งด่วนเพราะเขายังมีเรื่องต้องจัดการอย่างที่เราเห็นในพื้นที่ข่าวไปแล้ว ก็เรื่องนั้นแหละ ที่เขาและเพื่อนๆ ไปดักคนกลุ่มหนึ่งในสถานศึกษาที่คุณน่าจะเพิ่งรับรู้ ไม่รู้หลังจากนี้ทั้งรามิลและเราจะโดนอะไรมั้ย (ฮา) แต่เอาเป็นว่า ไม่ว่าคุณจะตั้งใจเข้าหน้าเว็บไซต์เพื่ออ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้โดยเฉพาะ หรือหลงเข้ามาด้วยความบังเอิญ เราคงจะรบกวนผู้อ่านแค่อย่างเดียวตลอดการอ่านบทสัมภาษณ์นี้ โปรดอ่านบทสัมภาษณ์นี้ด้วยใจเป็นกลาง และฟังเสียงของคนที่มีจุดยืนและการแสดงออกอย่างจริงใจ ช่วยเล่าให้ฟังอีกทีได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นคือผมกับเพื่อนๆ ทำงานกันที่ภาควิชา Media Arts & Design อยู่แล้ว มันก็เป็นงานที่เราทำร่วมกัน แต่ว่างานเราก็มีงานกลิ่นการเมืองและงานแต่ละงานที่เราทำ เราก็เอาไปแสดงในม๊อบด้วยเพราะว่างานเราทำก็จะให้เป็นงานซึ่งพูดคุยกับผู้คน กระแทกกับผู้คน ถ้าทำแล้วไม่เอาให้คนดูก็เก็บเอาไว้ดูที่ห้อง แต่ไม่รู้ว่าเหตุผลกลใด คืนก่อนหน้านี้ตำรวจมา โดยปกติก็ไม่มา เราก็ทำงานกันอยู่ที่นั่นตลอด พอตอนหัวรุ่งเราก็ไปนอน เพราะเราทำงานกันตอนกลางคืน มีโซฟาอะไรเราก็นอน พอเรากลับมาเราก็พบว่ามีคนกำลังขนงานเราไป เราก็ถามว่านี่เป็นใคร ทำไมถึงมาทำแบบนี้ คืออย่างหนึ่งที่เราถามว่าเป็นใครแล้วไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร อันหนึ่งคือคุณเป็นคนกระทำ คุณเริ่ม เราต้องการรู้ว่าคุณอยู่ในสถานะไหน เป็นใคร ก่อนที่เราจะบอกว่าเราเป็นใคร พอหลังจากนั้นเราก็บอกให้เอางานเรากลับมา เขาก็บอกว่างานมันไม่มีเจ้าของ แต่ว่าเราบอก “นี่ไง เรานี่ไง” เขาก็ใส่ถุงขยะแล้วก็เอาขึ้นรถ แล้วรถที่เขาเอาพามาก็เหมือนเป็นรถบรรทุกขนาดเล็กอะ ซึ่งประหนึ่งว่าตั้งใจมาขนอะไรสักอย่าง ไม่ใช่การเดินมาเฉยๆ ทีนี้เราก็บอกว่าเราเป็นเจ้าของ ทำไมถึงไม่เอามาคืน เขาก็บอกว่า “ให้ไปเอาที่คณะฯ” เราก็งงว่าจะให้ไปเอาที่คณะทำไม เราเป็นเจ้าของ ตรงนั้นก็คือพื้นที่หนึ่งของคณะฯ ด้วย ไม่ใช่พื้นที่ของหอศิลป์ฯ ใช้งานอยู่แล้ว ก็ พอเราก็คุยกันว่า คุณมีหน้าที่-อำนาจอะไร ผมก็บอกให้เขาตอบ จนเขาเดินๆๆ จนเลยรถตัวเองเพราะเขาไม่คุยกับเรา แล้วก็ขึ้นรถ ซึ่งถ้าเขาต้องการจะเอางานเราไป กูก็จะไม่ให้มึงไป ก็เลยไปขวางรถไว้ มันถึงขั้นต้องลงไปนอนขวางขนาดนั้นเลยเหรอจริงๆ มันเป็นโชคดีในเชิงพื้นที่เพราะมันแคบ มันยืนได้แต่ก็อาจจะเลี้ยวไปทางอื่น เราก็เลยนอน เพราะมันใช้พื้นที่เยอะไง ไม่กลัวตายเหรอคือถ้าเขาใจกล้าจริงๆ เขาก็ควรจะยืนคุยกับเราจนรู้เรื่อง ไม่ใช่หนีไปแบบนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนที่ยืนยันในสิ่งที่ตัวเองทำกัน ถามว่ากลัวตายมั้ย จังหวะนั้นมัน “ก็เอาสิวะ” ผมก็ไม่ได้คิดว่าการลงไปนอนมันจะตายหรือไม่ตาย เป็นอารยะขัดขืนอย่างหนึ่ง เราถือว่าสิ่งที่เราทำต้องการที่จะปกป้องทรัพย์สินของตัวเอง ถ้าไม่คิดว่างานนั้นต้องเอาไปให้คนอื่นดู ทำไมถึงหวงแหนและมองว่างานมันสำคัญจนต้องลงไปนอนขวางมันไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยออกมาบอกว่าสิ่งที่คณะบดีฯ ทำมันถูกต้องแล้ว ชอบธรรมแล้วตามหน้าที่ของเขา แต่ไม่รู้ว่ามหาลัยฯ อ้างระเบียบข้อไหน ที่สำคัญคือคุณมีหน้าที่ตามระเบียบก็จริง แต่สิ่งที่คุณควรจะทำมันคือความคิดน่ะ มหาวิทยาลัยมันไม่ใช่การเอามาพูดกันสวยๆ ว่า “มหาวิทยาลัยคือเสรีภาพทางวิชาการ” “เสรีภาพในการแสดงออก” ในเชิงการเมืองภาพใหญ่ การต่อสู้จะถูกกด ห้ามพูดอย่างไร มหาวิทยาลัยในฐานะสถานศึกษา ในฐานะของแหล่งอุดมทางปัญญา คือผมไม่ชอบใช้คำนี้อะ มันคือแหล่งสุดท้ายที่จะต้องทำได้ และเรื่องแบบนี้ไม่ควรที่จะต้องเกิดขึ้น คุณคงไม่คิดว่าจะมีอาจารย์เข้ามาเจรจาจนบุคคลกลุ่มนั้นยอมถอยกลับไป เพราะปกติพวกๆ พ้องๆ ของคุณก็สู้รบปรบมือกับผู้มีอำนาจเอง เมื่อมีคนมาช่วยให้เหตุการณ์คลี่คลาย เรื่องนี้มีความหมายกับคุณอย่างไรในสิ่งที่เราจะยืนยันว่าเราเป็นใคร คิดอะไร เชื่อแบบไหน เราก็ต้องทำ ทำในสิ่งที่เราสามารถที่จะทำได้ และอาจจะทำได้มากกว่านั้น อันนี้คือความสำคัญที่จะยืนยันว่าเราเป็นใครจริงๆ คือการที่เราทำใช่มั้ย ผมไม่รู้ว่าอาจารย์ทำด้วยความตั้งใจแบบไหน แต่อย่างหนึ่งที่เห็นได้คือการบอกว่า การมาเอางานของนักศึกษาไปมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องของการเป็นครูบาอาจารย์ ถ้าเรามองในขอบข่ายของอาจารย์มันก็แสดงถึงสิ่งที่แกยืนยันว่ามันไม่ถูกต้อง เรื่องนี้มันบอกอะไร มันเรียกร้องเรามากกว่าเดิม มันเรียกร้องการกระทำของเราที่มากกว่าเดิม มันไม่ใช่แค่เรื่องของนักศึกษาคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง เรื่องนี้มันกระทบเพราะว่าตัวคณะบดีฯ มายึดงานนักศึกษา มันจึงส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพว่าถ้าเรายอมให้กรณีนี้คณะบดีฯ ถูกต้อง นักศึกษาคนอื่นอาจจะถูกยึดงานก็ได้ และถ้ามหาลัยฯ ยืนยันว่าสิ่งที่คณะบดีทำถูกต้อง อาจจะเกิดขึ้นกับมหาลัยฯ อื่นๆ อีกก็ได้ ถ้าเราปล่อยมันก็จะพัง แต่ถ้าเรายืนยันว่าสิ่งที่เราทำมันถูกต้อง นี่คือมาตรฐานต่ำสุดที่มหาวิทายลัยจะเข้ามายุ่งย่ามกับนักศึกษาไม่ได้ คือการที่เราสามารถที่จะยืนยันความถูกต้องของนักศึกษาในกรณีนี้ และมหาวิทยาลัยจะเป็นคนที่รับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง อันนี้จะเป็นมาตรฐานที่ต่ำสุด เพราะสูงสุดเราอาจจะเปลี่ยนมันมากกว่านี้ก็ได้ คาดหวังมั้ยว่าสุดท้ายจะได้งานคืนหลายคนอาจจะใช้คำว่าเศร้าใจ ละเหี่ยใจ แต่เราเซ็ง งานกูทำใช่มั้ย ถึงเราได้คืนในสภาพที่มันอยู่ในถุงดำ เราก็ไม่คิดว่ามันจะสมบูรณ์หรืออยู่ในสภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ เราได้กลับคืนมา บางงานเราก็ต้องทำใหม่ทั้งหมด เพราะบางงานเป็นงาน Installation พอเป็นงานจัดวาง คุณเอาไปรวบๆๆๆ มันก็ต้องทำใหม่ เรารู้อยู่ว่างานของเรายังไงก็ต้องพัง แต่สิ่งที่เราทำตอนนั้นเลยก็คือ เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราทำอะไร เราถูกหรือผิด แต่เรายืนยันว่าเราไม่ผิด และเราเชื่อมั่นว่าสิ่งๆ นี้เป็นสิ่งที่คนอื่นก็จะมองว่าเราไม่ผิดด้วย โดยที่เราไม่ต้องไปอ้างอะไร หลังจากนั้นสิ่งที่เราทำคือการต่อสู้กับความอยุติธรรม มันเคลื่อนย้ายจากการได้งานคืน-ไม่ได้งานคืน เป็นการต่อสู้ของสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ถ้าเราเฉยเสีย เราก็เป็นส่วนหนึ่งของความอยุติธรรมนั้นด้วย เราจึงต้องต่อสู้-ต่อต้านสิ่งนี้ เพราะเราอยู่กับอยุติธรรมนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างมีการไลฟ์สดลงเฟซบุ๊ก จนทุกอย่างกลายเป็นไวรัลในเวลาอันรวดเร็ว และมันเหมือนเป็นการระเบิดของขยะใต้พรมที่ทำให้มีการเคลื่อนไหว เหมือนสิ่งที่คุณทำกลายเป็นการจุดไฟในสังคมย่อยๆ นี้เริ่มตั้งคำถาม แสดงออกถึงจุดยืนและย้อนอดีตบางเรื่องพูดยังไงดี (คิดนาน) มันปิติ ปลื้มปริ่ม คือตัวผมเองไม่สามารถเคลมได้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากเรา บรรยากาศของสังคม จิตวิญญาณของยุคสมัยมันเร้าเราให้เราจะต้องเลือกอะไรสักอย่างหนึ่ง ไอ้การแตกออกในลักษณะนี้คุณต้องไม่ลืมว่าลำดับขั้นทางสังคมมันกดขี่เรานะ ความอึดอัด อัดอั้นตันใจมันเกิดขึ้นกับคน เพราะคนที่เป็นตัวแสดงแทนของชนชั้นทางสังคมมันเป็นจำนวนที่น้อย แต่คนที่ถูกกดขี่มันมากมายมหาศาลกว่านั้นใช่มั้ยล่ะ คุณอย่าลืมว่าเมื่อมันแตกออก มันกระจัดกระจายออกไป ฉะนั้นแล้วคุณจะเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณร่วมสมัยของมันยังไง แน่นอนว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของมัน คุณเป็นส่วนหนึ่งของสังคม คุณเป็นแรงหนึ่งที่จะเปลี่ยนมันได้ แล้วคุณพูดตัวเองที่เชื่อมโยงกับสังคมนั้นๆ ฉะนั้นตัวคุณเองมีอำนาจในตัวเองที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม ฉะนั้นถ้าคุณไม่พูด ก็จะไม่มีใครพูดอีกแล้ว ถ้าคุณไม่ทำวันนี้ คืนนี้คุณนอนแล้วเผลอตายไป พรุ่งนี้คุณก็จะไม่ได้ทำเลย มันคือตอนนี้และเดี๋ยวนี้เท่านั้น เพราะคุณไม่เลือกจะอยู่ข้างความอยุติธรรมอีกแล้ว คุณจึงเลือกต่อสู้กับมัน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกยังไงที่การเคลื่อนไหวครั้งนี้กลายเป็นที่สนใจของคนทั้งประเทศแน่นอนว่ามันดูเสมือนเป็นดราม่าแบบประเดี๋ยวประด๋าว แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ในท้ายที่สุดมันเชื่อมโยงกับการเมืองภาคใหญ่ ซึ่งการเมืองภาคใหญ่ไปไกลมาก ไม่ได้พูดถึงการเอาใครออก แต่มันพูดถึงการทลายลงของโครงสร้างแบบเก่า คนจะต้องเลือก ผู้คนจะต้องเลือกแล้ว คุณจะเลือกอิสรภาพหรือโลกเก่า คุณต้องเลือกสักอย่าง การเลือกสำคัญ และจะมีการเลือกที่ยิ่งใหญ่สำหรับคุณเท่านั้นที่จะเปลี่ยนทุกอย่าง แน่นอนว่าหลายๆ คนอาจจะยังชั่งใจว่าตัวเองมีตำแหน่งแห่งที่ มีความหมายในโลกใบเดิมอยู่ แต่คุณค้นพบว่าคนอีกจำนวนมากต้องการอิสรภาพจากโลกเดิมเพื่อสร้างและอยู่ในโลกใหม่ ประเทศใหม่ อยู่ในสิ่งที่โลกเก่าไม่มีทางจินตนาการถึง มันจึงเป็นเรื่องของทุกคนที่ไม่ได้เกิดขึ้นที่เชียงใหม่ เพราะว่าการคุกคามแบบนี้ สภาวะของการเฮือกสุดท้ายของอำนาจนิยม เฮือกสุดท้ายของระบบชนชั้นก็คือการใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่งในการกดขี่ข่มเหงเรา มันเลยส่งผลกระทบมาที่เชียงใหม่และผลกระทบต่อทุกประเด็น ต่อทุกภาคส่วน ทุกหน่วย ฉะนั้นการพลิก การแตกออกของหน่วยๆ หนึ่งมันส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งอยู่แล้ว หลังจากแถลงการณ์ฉบับนั้นถูกเผยแพร่สู่อินเทอร์เน็ต อะไรทำให้คุณไปดักรอผู้บริหารฯ หลังการประชุมเสร็จสิ้นผมมีความพยายามอยากไปพูดคุยกับผู้บริหารตลอดแหละ อยากจะคุยหลายๆ ประเด็น แต่เขาไม่ค่อยอยากจะคุยกับผม ผมก็ไปหาเขานั่นแหละครับ ซึ่งการที่เรายืนยันว่าเราเป็นใคร และเราอยากพบคุณ นั่นเท่ากับว่าเรายืนยันว่าคุณดำรงอยู่ด้วย นี่คือการให้เกียรติ แต่การที่คุณเอากระดาษแผ่นเดียวมาคุยกับเรา คุณเห็นเราเป็นตัวอะไร เราพูดคุยกันด้วยความเป็นมนุษย์ ซึ่งคือมาตรฐานต่ำที่สุดแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้คุณบอกว่าตัวเองไม่ผิด ทำไมถึงคิดอย่างนั้นผมไม่เคยเรียกร้องให้ใครจะต้องมีใจที่เป็นกลาง เรายืนอยู่บนฟากฝั่งหนึ่งเสมอ แต่สิ่งที่เราจะไปต่อกับประเด็นนี้ กับประเทศนี้ เราจะคุยกันได้มากกว่ามานั่งด่าเรามั้ย เบื่อมั้ยที่จะต้องด่าว่าสลิ่ม แต่ฉันเซ็งฉิบหายเลยที่เธอมาด่าฉันว่าม๊อบสามกีบๆ คือมันไม่มีความสร้างสรรค์น่ะ อะไรก็ไม่รู้ คือคุณเบื่อรึยังกับสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คุณพอใจแล้วเหรอ คือคุณมีความหมายอะไรในการอยู่โครงสร้างภายใต้ประเทศนี้ ในท้ายที่สุดสักวันหนึ่งคุณขัดผลประโยชน์กับเขา คุณก็อยู่ในสภาพเดียวกับเรา แล้วถ้าคุณกำจัดเรา คุณจะไม่มีเพื่อนที่อยู่เคียงข้างคุณอีกเลย เราต้องเข้าใจและยอมรับว่าเราไม่ได้เป็นศัตรูกันในฐานะของเพื่อนมนุษย์น่ะ แต่สิ่งที่คุณคิดและเชื่อมั่นอยู่น่ะ เราเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง นี่ก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ แต่คุณใช้อะไรวิจารณ์ คุณทำใจเปิดกว้างพอมั้ยที่จะฟังคนอื่นบ้าง ไอ้จริยธรรมในตัวเองน่ะ เราจะรู้ในบางครั้งว่าสิ่งที่เราทำอาจจะผิดก็ได้ รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปบ้างมั้ยผมไม่เคยปฏิเสธความเศร้าโศกเสียใจของตัวเอง ไม่ต้องการทำให้มันหายไป ต้องการที่จะทำให้มันไหลลึกอยู่ภายในของเราเพื่อที่จะรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ในสิ่งที่ผมทำ ผมจะตอบว่า คุณจะค้นพบว่าเสียใจแน่นอน แต่เลือกได้ว่าจะเสียใจแบบไหนระหว่างเสียใจที่คุณค้นพบว่าคุณไม่ได้ทำอะไรเลย หรือเสียใจกับสิ่งที่คุณทำแล้วมันไม่สำเร็จ คุณอยากเสียใจแบบไหน คุณเลือกความเสียใจของตัวเองได้ ซึ่งการที่เราลงมือทำอะไรสักอย่างมันคือการยืนยันว่าเราคือใคร และยืนยันความเสียใจด้วย ไม่ได้กลัวมัน เมื่อมองกลับไปในการกระบวนการเคลื่อนไหวของคุณ คุณใช้เครื่องมือที่หลากหลายมากในการเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง คุณเรียนรู้อะไรจากมันมันเป็นความมหัศจรรย์ที่น่าหลงไหลของ Liberal Arts ที่รู้และทำแค่อย่างเดียว ซึ่งมันเปิดโลกที่กว้างขวางของเรา เราจะทำศิลปะที่ไม่สนใจการเมืองก็ได้ นั่นคือการตัดขาด Liberal และ Arts ออกจากกัน แต่การที่เราเชื่อมั่นในมัน เราทำให้มันสามารถที่จะกลับมาเจอกันอีกครั้ง และผมมองว่าผมก้าวข้ามนะ ที่นอกจากงาน Performance แต่พอเราเรียนรู้มากขึ้นก็สนใจในวิธีการที่หลากหลายมากขึ้นด้วย เวลานั่งคุยถึงวิธีคิดของการทำงานแต่ละครั้งหรือวิธีคิดของตัวเอง ถ้าวิธีคิดมันเดินทางมาถึงทางตันแล้ว เราจะไปต่อยังไงและทำให้มัน Practical อย่างไร และเราค้นพบว่าในท้ายที่สุดการกระทำของเรา มันเปลี่ยนความคิดบางอย่างด้วย ระหว่างทางที่คุณเคลื่อนไหวร่วมกับผู้คนที่มีความเชื่อในเรื่องเดียวกัน เมื่อคุณพบคนที่คอยสนับสนุนคุณ มันมีความหมายยังไงกับคุณ(คิดนาน) เล่ายังไงดี (คิด) บางครั้งที่เรารู้ตัวว่าเราโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงากับการอยู่ตัวคนเดียว แต่อยู่ๆ เราก็พบว่ามีคนคอยที่จะแบ่งปันความรู้สึกนั้นด้วย ผมไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร มันคือเพื่อนน่ะ เราไม่ต้องพูดคุยอะไรกันก็ได้ แค่อยู่ตรงนั้นข้างๆ เราก็พอแล้ว ไม่ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำคืออะไร ถ้าเราเชื่อมั่นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของเราคือเพื่อน ในบางครั้งที่เขาพลาด เราก็แซะแซว ด่า ตักเตือน แต่ในบางวันที่เราท้อ เราก็ให้กำลังใจ เราจะเห็นชีวิตของกันและกัน ผมไม่เคยวาดฝันว่าจะรู้จักกับคนแปลกหน้าได้มากมายขนาดนี้ ผมไม่เคยคาดคิดว่าการเดินออกไปในสถานที่ๆ ผู้คนพลุกพล่านแล้วจะมีคนชื่นชมเรา มันทำให้เรารู้ได้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยวเพียงคนเดียว มันเป็นโมเมนต์ที่น่าประทับใจที่มีคนเดินมาให้กำลังใจเรา แล้วเราก็ให้กำลังใจเขาด้วย มันเกิดขึ้นจากการต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น มันพิสูจน์ถึงความหวังในความสิ้นหวัง คือความเหนื่อยล้าท้อแท้ เราสิ้นหวังได้ แต่ถ้าเรายังหายใจอยู่ ก็แปลว่าเรามีความหวังบางอย่าง มันคือการหล่อเลี้ยงกันและกัน คิดว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น หลักจากที่คุณแสดงจุดยืนถึงหลายครั้งวันพรุ่งนี้เป็นเรื่องลี้ลับ ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอยู่ที่ตอนนี้เท่านั้น ตอนนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะทำอะไรด้วยนะ หมายความว่าคุณจะทำอะไรด้วย สิ่งที่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นข้างหน้าคือ ผมไม่หวังว่าจะมีชีวิตอยู่ในโลกแบบนี้ ประเทศแบบนี้ ในสังคมอันแหลกเหลวแบบนี้ แต่เราหนีมันไปไหนได้ เราต้องอยู่กับมันน่ะ เราจึงต้องเปลี่ยนมัน |
Related Posts
LAWIN เส้นทางการตามหาความฝัน และวันที่ก้าวเท้าเข้าสู่ MINIMAL RECORD
เรียกได้ว่าหลังจากช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยมีโอกาสบ่อยนักที่จะได้สัมภาษณ์แบบเจอหน้า แต่วันนี้ผมมีนัดหมายศิลปินหนุ่มที่เคยเจอกันครั้งหนึ่งเมื่อตอนสมัยฝึกงานอยู่ที่ค่ายมินิมอล เรคคอร์ด เพื่อพูดคุยกับศิลปินที่เรียกได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีพลังเหลือล้น สดใส เขาทำงานที่ตัวเองรักซึ่งก็คือการเล่นดนตรี ลัทธภพ สุทธมงคล หรือ ‘LAWIN’ คือศิลปินเดบิวต์ใหม่วัย 23 ปี ซึ่งกำลังเป็นที่รู้จักในที่ผ่านมา ที่เรียกได้ว่าเป็น New shade ใหม่ของมินิมอล เรคคอร์ด ก่อนจะเข้าสู่โลกของดนตรีในฐานะศิลปิน เขาคือเด็กหนุ่มนักฝันที่มุ่งมั่นในเส้นทางแห่งเสียงดนตรี ชอบเล่นดนตรีมาตั้งแต่ช่วงสมัยที่เรียนมัธยม หลงรักเสียงดนตรีโดยไม่รู้ตัว จึงเอาจริงเอาจังด้านนี้เรื่อยมาอย่างสุดความสามารถ เติบโตผ่านการทำงานที่มากฝีมือขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นคนที่มีแพสชันเรื่องงานดนตรีแบบล้นปรี่ และไม่ใช่แค่ทำเพลงดี แต่รวมถึงการวางตัวที่ดีด้วย ในที่สุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาได้เปิดตัวในฐานะศิลปินน้องใหม่แห่ง ค่ายมินิมอล เรคคอร์ด พร้อมปล่อยซิงเกิลแรกในชีวิตอย่างเพลง ‘ เมื่อเธอเดินจาก ’ และซิงเกิลที่สองเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาในเพลงซึ่งที่พอได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายมายังไงก็อย่าลืมกอดตัวเองนะ ด้วยเพลง ‘ตัวฉันเมื่อวันก่อน’ แม้จะไปได้ดีในการเปิดตัว แต่ทว่าเส้นทางในฐานะศิลปินของ LAWIN นั้นยังอีกยาวไกล และมีความท้าทายอยู่มากมายที่รอพบเจอ วันนี้ผมจึงอยากชวนมาอ่านบทสนทนากับเขา เส้นทางการตามหาความฝัน ตัวอย่างของคนที่ใช้พรสววรรค์ที่มีอย่างถูกทาง รวมทั้งชีวิตฟากเบื้องหน้าที่เป็นศิลปิน ตลอดจนตัวตนเบื้องหลังของเขาเมื่อถอดคำว่าศิลปินออกไป ในเรื่องราวที่ทุกคนจะได้อ่านต่อไปนี้ ตัวฉันเมื่อวันก่อน ก่อนจะมาเป็นศิลปินหนุ่มหน้าใหม่ในวันนี้ จุดเริ่มต้นความฝันบนเส้นทางดนตรีของลาวิน […]