It’s nine o’clock on a saturday
Regular crowd shuffles in
There’s an old man sittin’ next to me
Makin’ love to his tonic and gin
ณ สามทุ่มในคืนวันเสาร์
ผู้คนพลุกพล่านเดินผ่านไปมา
มีชายชราคนหนึ่งที่นั่งถัดไปจากตัวฉัน
ซึ่งเขารักโทนิคและจินมาก
ประโยคเปิดของบทเพลงอันคลาสสิคเพลงหนึ่งของศิลปินที่ชื่อ Billy Joel พาย้อนกลับไปในวันที่ตัวเขาเองยังคงเป็นนักเล่นเปียโนอยู่ในผับ ณ นคร Los Angeles ในช่วงปี 1972 – 1973 เรื่องราวในบทเพลงฉายภาพให้เห็นภาพบรรยากาศในช่วงเวลานั้น ค่ำคืนในบาร์แห่งนั้น ในช่วงนั้นเขาคือนักดนตรีหนุ่มจาก New York ที่เพิ่งประสบความล้มเหลวจากอัลบั้มแรกของตัวเองอย่าง Cold Spring Harbor ที่เขาว่ามันจะเป็นใบเบิกทางสู่การเป็นนักดนตรีมืออาชีพอันโด่งดัง แต่แล้วฝันนั้นก็สลายไปในพริบตา เมื่ออัลบั้มที่เขาตั้งใจทำมากเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค เนื่องจากเทปของสตูดิโอถูกถ่ายโอนเข้าสู่แผ่นไวนิลด้วยความเร็วสูงเกินไป ทำให้ทั้งเสียงดนตรีและเสียงร้องของเขามันสูงราวกับตัวชิปมังก์ จึงไม่มีผู้ใดสนใจมันเลย ว่ากันว่าตัวเขาเองโยนแผ่นเสียงนี้ออกไปจากห้องหลังจากได้ยินมัน ด้วยเหตุนี้ มันจึงกลายเป็นอัลบั้มเปิดตัวที่ล้มเหลวของศิลปินหน้าใหม่คนหนึ่งที่อีกไม่นานจะได้มีบทเพลงคุณภาพมากมายถูกถ่ายทอดออกมามากมาย และหนึ่งเพลงที่เป็นตำนานที่สุดของเขาก็จะเกิดขึ้นในอัลบั้มต่อมา เพลงนั้นคือ Piano Man หลังจากนั้นที่อัลบั้มแรกเผยแพร่ไป ก็มีผู้บริหารค่ายใหม่ที่ไปได้ยินเสียงเพลงของ Billy ตอนที่เขาได้ไปเล่นคอนเสิร์ตทางวิทยุแล้วเกิดสนใจ ก็เลยทำการติดต่อให้ตัวเขาย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ค่ายแห่งใหม่ และย้ายมาที่ Los Angeles ในช่วง 6 เดือนแรกที่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ เขาได้ทำงานเสริมด้วยการเป็นนักเปียโนในบาร์ชื่อ Executive Room ที่เขาใช้นามแฝงว่า Bill Martin ทำการแสดงในทุกค่ำคืนตลอดช่วงเวลา 6 เดือนนี้ และได้เจอเรื่องราวต่างๆในบาร์แห่งนี้ ผ่านสายตาของนักเปียโนผู้หนึ่งที่จะถูกบันทึกออกมาผ่านบทเพลง He says: “Son can you play me a memory?”
I’m not really sure how it goes
But it’s sad and it’s sweet and I knew it complete
When I wore a younger man’s clothes
เขาถามฉันว่า “ไอ้ลูกชาย ช่วยเล่นเพลงให้ฉันหน่อยสิ”
ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงนะ
แต่ที่ฉันรู้คือมันทั้งเศร้าและหอมหวาน และฉันรู้แน่ว่ามันสมบูรณ์แบบ
เมื่อฉันได้สวมใส่เสื้อของชายหนุ่ม“
La-la-la de-de da
La-la de-de da da-da
Sing us a song you’re the piano man
Sing us a song tonight
Well we’re all in the mood for a melody
And you’ve got us feelin’ alright
ร้องเพลงให้เราฟังคุณนักเปียโน
ร้องเพลงให้เราฟังในคืนนี้
เราทุกคนต่างก็ได้รับความสุขจากบทเพลง
และคุณได้รับความรู้สึกนี้จากพวกเรากลับไป
ตัวละครทุกคนที่อยู่ในบทเพลงต่างก็มีตัวตนอยู่จริง ณ ช่วงเวลานั้นที่ Bill Martin ได้ทำการแสดงอยู่บนเวทีและมองชีวิตของผู้คนในร้านกำลังดำเนินไป ในค่ำคืนที่โลกแห่งความจริงถูกหยุดไว้ภายนอก เหลือเพียงโลกที่หยุดไว้เพียงในร้านแห่งนี้ โดยเสียงจากนักเปียโนและผู้คนที่เดินผ่านไปมาที่คอยขับกล่อมเรื่องราว Now John at the bar is a friend of mine
He gets me my drinks for free
And he’s quick with a joke or to light up your smoke
But there’s someplace that he’d rather be
นื่คือจอห์น คนที่อยู่ที่บาร์นั่นคือเพื่อนของฉันเอง
เขามอบเครื่องดื่มให้กับฉันฟรีๆ
และตามมาด้วยมุกตลกหรือไม่ก็มาจุดบุหรี่ให้กับคุณ
แต่ก็มีบางสถานที่นะที่เขาอยากจะไป
He says Bill I believe this is killing me
As a smile ran away from his face
Well I’m sure that I could be a movie star
If I could get out of this place
เขาบอกกับฉันว่า “บิล สิ่งนี้มันกำลังจะฆ่าฉันนะ”
ตามมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
“ฉันว่าฉันคงเป็นดาราหนังได้นะ
ถ้าฉันสามารถออกไปจากที่นี่ได้”
Oh, la-la-la de-de da
La-la de-de da da-da
Now Paul is a real estate novelist
Who never had time for a wife
And he’s talkin’ with Davy who’s still in the navy
And probably will be for life
ตอนนี้พอลที่เป็นนักเขียนเกี่ยวกับอสังหาฯ
ผู้ที่ไม่มีเวลาให้กับภรรยา
และกำลังพูดกับเดวี่ ชายที่เป็นทหารเรือ
และคงเป็นตลอดไป
And the waitress is practicing politics
As the businessmen slowly get stoned
Yes they’re sharing a drink they call loneliness
But it’s better than drinkin’ alone
สาวเสิร์ฟที่กำลังศึกษาเรื่องการเมือง
และนักธุรกิจหนุ่มที่นั่งจิบอย่างช้าๆ
ทั้งคู่กำลังแชร์เครื่องดื่มที่ชื่อว่า “ความเหงา”
ซึ่งมันดีกว่าการดื่มเพียงลำพัง
It’s a pretty good crowd for a saturday
And the manager gives me a smile
‘Cause he knows that it’s me they’ve been comin’ to see
To forget about life for a while
มันเป็นช่วงเวลาวันเสาร์ที่ครึกครื้น
ผู้จัดการร้านได้ยิ้มให้กับฉัน
เพราะเขารู้ว่าผู้เหล่านี้ต่างเข้ามาที่นี่เพื่อมาเจอนักเปียโน
เพื่อที่จะได้ลืมเรื่องราวในชีวิตของพวกเขาไปชั่วคราว
And the piano it sounds like a carnival
And the microphone smells like a beer
And they sit at the bar and put bread in my jar
And say man what are you doin’ here?
เสียงเปียโนถูกเล่นราวกับเป็นงานรื่นเริง
และเสียงไมโครโฟนก็มีกลิ่นคล้ายเบียร์
พวกเขานั่งอยู่ที่บาร์และวางขนมปังไว้ที่เหยือกของฉัน
ก่อนจะถามว่า แล้วนายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ?
หลังจากนั้นไม่นาน เรื่องราวที่อยู่ในคลับแห่งนั้นก็ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านบทเพลงที่ต่อมาจะกลายเป็นเหมือนเพลงประจำตัวของ Billy Joel ที่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ต้องมีคนเอ่ยถึงบทเพลงนี้ทุกครั้ง เรื่องราวของนักดนตรีที่คอยขับกล่อมบทเพลงให้กับหลากหลายชีวิตที่ต้องการออกจากโลกแห่งความจริงชั่วคราว โลกที่แสนเหนื่อย และมีเรื่องราวมากมายที่ต้องแบกรับไว้ สำหรับบางคนแล้ว วันเสาร์นั้นคงเป็นวันพักผ่อนวันแรกหลังจากสัปดาห์แห่งการทำงานอันยาวนาน เพียงแค่เปิดประตูหน้าร้าน ถอดเรื่องราวทุกอย่างที่แบกไว้ ทิ้งไว้ตรงข้างหน้านั้น ก่อนที่จะเดินเข้ามาเพื่อรับบทเพลงแห่งความสุขจากนักเปียโน และเดินออกจากร้านด้วยความอิ่มเอม นั่นคือช่วงเวลาหนึ่งของศิลปินในตำนานอย่าง Billy Joel ก่อนที่จะมีชื่อเสียงโด่งดังจนถึงทุกวันนี้ ที่มา |