ประมาณสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันเห็นโพสต์บนเฟซบุ๊กที่กำลังเป็นไวรัลแล้วก็สะท้อนใจกลับมาหาตัวเอง ใช่ค่ะ, มันคือโพสต์ที่ว่าด้วยการแจกเกียรติบัตรให้กับเด็กนักเรียนในโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่มันไม่ใช่เกียรติบัตรเรียนดี หรือผู้สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน แต่มันเป็นการประกาศเกียรติคุณในเรื่องที่เรียบง่าย อย่างเช่น ขุดปูนาเก่ง จิตใจดีงาม รักสัตว์ รักครอบครัวหรือไปจนถึงการสร้างคุณค่าและเพิ่มพูดวามเชื่อมั่นที่ดีมากๆ อย่างการเป็นดีเจประจำโรงเรียนที่เก่งกาจ มีภาวะความเป็นผู้นำดี หรือง่ายที่สุด รู้จักขอโทษเมื่อทำผิด มันคือการสร้างคุณค่าในตัวเด็กที่ไม่ได้ใช้เครื่องมืออะไรมากมายเลย แล้วยิ่งเกียรติบัตรมันเพิ่มอิมแพคในใจเด็กได้ง่ายมากๆ ดิฉันเลยนึกถึงในช่วงเวลาปีที่แล้วที่ดิฉันได้ทำงานร่วมกับเด็กกลุ่มหนึ่งเกือบสามสิบชีวิต และมันทำให้ฉันเข้าใจถึงเจตนาของครูท่านนั้นอย่างถ่องแท้ ดิฉันจับพลัดจับพลูไปช่วยงานที่โรงเรียนเก่าของตัวเองที่ชื่อ “ราตรีเพลินเพลง” หรือ “Music Night” ซึ่งมีการปรับรูปแบบจากเวทีการแสดงปกติเป็นการถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ ซึ่งมีนักแสดงที่ต้องโชว์สดสลับกับการแสดงของแต่ละระดับชั้นถึง 30 คน ในวันแรกที่ดิฉันเจอพวกเขา แน่นอน, เด็กก็คือผ้าขาว ยังไร้เดียงสาและขาดประสบการณ์ ในการเวิร์กช็อปทั้งการพูด การแสดงง่ายๆ การปรับบุคลิกภาพและความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้เอื้อต่อการทำการแสดง (เพราะนักเรียนต้องออกแบบโชว์เพื่อแสดงในการถ่ายทอดสด) ฉันจึงเห็นไอเดียที่เอาเข้าจริงมันใช้ไม่ได้เลยในโลกของการทำงานเชิงธุรกิจ แต่ในความไม่เอาไหนของมัน ฉันกลับพบถึงพลังงานความสนุก ความสดใส และความบริสุทธิ์เท่าที่เด็กอายุ 13-17 ปีกลุ่มหนึ่งจะร่วมกันระดมสมองคิดกันออกมา ต่อให้มันจะออกมาเป็นงานโรงเรี๊ยน งานโรงเรียนแค่ไหน ก่อนที่ฉันจะคอมเมนต์งานกลับไป ฉันกลับนึกถึงคำของน้องๆ ในกองบรรณาธิการฯ ที่คอยเตือนสติฉันเสมอว่า “ให้เด็กได้ทำอะไรอย่างที่เขาอยากทำ เปิดโอกาสให้เขาได้ทำอย่างถึงที่สุด มันจะได้เป็นช่วงเวลาที่น้องๆ รู้สึกภูมิใจในตัวเองจริงๆ“ ดิฉันจึงไม่ชี้นำอะไร และปล่อยเข้าสู่กระบวนการนำเสนองานต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และโชคดีที่ผู้ใหญ่ก็สนับสนุนน้องๆ อย่างเต็มที่ จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการซ้อม ซ้อม แล้วก็ซ้อม ที่ระหว่างทางดิฉันก็เห็นน้องๆ บางคนยังงกๆ เงิ่นๆ หรือยังขาดตกบกพร่อง หลายทีฉันเห็นแววตาที่ไม่มั่นใจในตัวเองหรือกังวลในสิ่งที่เขาทำลงไป ฉันจึงยืนอยู่ข้างสนามเพื่อคอยสร้างความเชื่อมั่น เพิ่มความมั่นใจ และคอยบอกในสิ่งที่น้องๆ ขาดตกไป และเอาไปเติมให้เต็ม นั่นยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีกว่ายังไงน้องๆ ยังต้องการใครสักคนที่บอกเขาเสมอว่า เขาทำได้ และทำได้ดีมากๆ ด้วย ดิฉันขอไม่บอกผลสรุปของโชว์ในวันนั้นว่ามันออกมาเป็นอย่างไร ลองแวะเวียนไปดูไฮไลต์แห่งความพยายามของน้องๆ ที่เพจ PRC Music Event ดูแล้วกันค่ะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่หยิบเรื่องนี้มาแบ่งปัน สุดท้ายแล้วดิฉันอยากให้ผู้ใหญ่ทุกคนลอง “เชื่อมั่น” และ “เชื่อใจ” ในตัวบุตรหลานหรือเด็กในปกครองของท่าน มันไม่ใช่แค่เขาจะแค่ทำสิ่งที่คุณมอบหมายออกมาให้ดีที่สุด แต่เขาจะทำสิ่งนั้นด้วยความตั้งใจอย่างถึงที่สุด เพราะเด็กจะเชื่อมั่นในตัวเอง อย่างที่ผู้ใหญ่เชื่อมั่นในตัวเขา |
Related Posts
สิบความพิเศษของ Starbucks ดินแดนอาทิตย์อุทัยที่ไม่น่าเหมือนกับประเทศไหนในโลก
ประเทศญี่ปุ่นมีสตาร์บักส์กว่า 1,434 สาขา ซึ่งถือว่าเยอะมากเมื่อเทียบกับไทยที่มีแค่ 343 สาขาเท่านั้น ที่สำคัญ สตาร์บักส์ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเชนร้านกาแฟระดับโลกที่ได้รับความนิยมอย่างมากอีกด้วย สตาร์บักส์ที่ญี่ปุ่นมีเรื่องสนุกๆ และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจและต่างจากเมืองไทยอยู่ค่อนข้างมาก ลองมาดูกันว่าหลายๆ เรื่องที่สตาร์บักส์ญี่ปุ่นแตกต่างจากไทยเหลือเกินนั้นมีอะไรบ้าง 1 บาริสต้าในร้านร้อยละ 80 พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เนื่องจากชาวญี่ปุ่นส่วนมากไม่พูดภาษาที่สอง ทำให้การสื่อสารด้วยภาษากลางอย่างภาษาอังกฤษเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น สตาร์บักส์ญี่ปุ่นจะเตรียมเมนูแบบเล่มให้ไว้ลูกค้าจิ้มสั่งได้เลย 2 สตาร์บักส์ญี่ปุ่นไม่มีชาเขียวเย็น ที่สตาร์บักส์ญี่ปุ่นมีเมนูชาเย็นแค่ 2 รายการเท่านั้นคือ ชา (ดำ) เย็น และชาส้มยูสุเย็น (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมนู Teavana) ส่วนที่เหลือจะเป็นชาร้อนทั้งสิ้น ทั้งชาเขียวมัจฉะลาเต้ (ถ้าสั่งว่า Green Tea บาริสต้าจะไม่เข้าใจ) โฮจิฉะลาเต้ และอื่นๆ และสตาร์บักส์ที่ญี่ปุ่น ไม่มีเมนูชามะนาวเย็น แต่ถ้าอยากกินชาเขียวเย็นแบบไทยจริงๆ คุณหาซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อทั่วไปในรูปแบบแก้วเพียง 100 เยนเท่านั้น 3 วิธีจัดการคิวที่เสียเวลาน้อยกว่า แต่เป็นระเบียบมากกว่า ในช่วงเวลาที่มีผู้ใช้บริการจำนวนมาก (ส่วนมากเป็นวันเสาร์-อาทิตย์) สตาร์บักส์ญี่ปุ่นมีวิธีจัดการคิวคือ ให้ลูกค้าต่อแถวเป็นสองแถว แถวแรกเป็นแถวสั่งเมนู ถ้าสั่งและชำระเงินแล้วให้เก็บใบเสร็จไว้ จึงไปต่อแถวที่สองเพื่อรอรับออเดอร์ตามลำดับการชำระเงิน […]
Behind The Scene Editorial Staff
June 13, 2021บทวิเคราะห์ European Super League เมื่อในวันที่โลกลูกหนังถูกหมุนด้วยเงินตรา
“น่ารังเกียจ น่ารังเกียจเป็นที่สุด” คือทรรศนะของแกรี่ เนวิลล์ อดีตแบ๊คขวาระดับตำนานของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดออกโรงจวกการกระทำของอดีตต้นสังกัดเมื่อครั้งยังสมัยค้าแข้งเป็นรายแรกๆ หลังจากที่มีการแถลงการจัดตั้งอภิมหาโปรเจกต์ครั้งใหม่ที่ชื่อยูโรเปี้ยน ซูเปอรร์ลีก (ESL) ที่มีหัวเรี่ยวหัวแรงรวบรวมโคตรทีมมาร่วมสังฆกรรมในมหรสพลูกหนังฉากใหม่นี้ ‘ฟอเรติโน่ เปเรส’ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด จาก ลา ลีกา สเปน ควบตำแหน่งประธานการแข่งขันรายการนี้อีกหนึ่งตำแหน่ง ประกอบกับทีมบิ๊กเนมจากลีกต่างๆ อาทิ บาร์เซโลน่า แอตเลติโก มาดริด จากลีกลา ลีกา สเปน หรือยูเวนตุส เอซี มิลา อินเตอร์ มิลาน จากลีกเซเรีย เอ อิตาลี แม้แต่กลุ่ม ‘บิ๊กซิกส์’ จากพรีเมียร์ลีกอังกฤษคือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล เชลซี อาร์เซน่อล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และสเปอร์ นอกจากนี้ยังมีอีกสามทีมที่ถูกส่งเทียบเชิญไปอีกเช่นเดียวกันอีกสามทีมที่คาดว่าจะเป็น บาร์เยิน มิวนิค และโบรุสเซียดอร์ทมุนต์ จากลีกบุนเดสลีกา เยอรมัน ที่ได้ปัดตกคำเชิญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการโต้ตอบจาก UEFA และ FIFA […]