Kevin Hart Don’t F*** This Up: สารคดีชีวิตเควิน ฮาร์ท ในฐานะมนุษย์ที่มีความเป็นคนที่สุด

หมายเหตุ: บทความเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของสารคดี

 

ชาวเน็ตที่ติดตามวงการบันเทิงฮอลิวูดคงคุ้นหูกับชื่อเควิน ฮาร์ทดีอยู่แล้ว

นักแสดงตลกผิวสีที่เราได้เห็นหน้าค่าตาของเขาในภาพยนตร์ตลกทำเงินเรื่องดังหลายเรื่องอาทิ Central Intelligence, Jumanji, The Secret life of Pets หรือภาพยนตร์ฟีลกู้ดอย่าง The Upside คือสิ่งที่คนไทยมีภาพจำกับเขา และอีกด้านหนึ่งในโลกมายาอเมริกัน เควินแจ้งเกิดจากการเดี่ยวไมโครโฟนจนเป็นอีกหนึ่งผลงานที่เขามีภาพจำรวมถึงผลงานที่โดดเด่นอย่างหาตัวจับยาก

เควินเป็นนักแสดงตลกคนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกจนขึ้นทำเนียบ International Superstar ไปแล้ว ผลงานของเขาถูกจับจ้องและจับตามองผ่านสายตาของผู้ชมทั่วโลก ชีวิตครอบครัวก็ไปได้สวย มีภรรยาที่น่ารักและลูกอีกสามคน (ที่ถึงแม้จะเป็นลูกติดมาซะสองคนก็ตามที) มีบริษัทโพรดัคชันเฮาส์เป็นของตัวเองซึ่งเพิ่งเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง Night School ที่เควินแสดงร่วมกับตลกสาวดาวรุ่งอย่างทิฟฟานี่ แฮดดิช ซึ่งทำรายได้อย่างสวยงามในอเมริกา

บังเอิญว่าชีวิตของเควินที่กำลังสวยงามท่ามกลางแสงไฟ ครอบครัว ทีมงาน หรือเพื่อนฝูงอย่างที่เขาเรียกก๊วนเพื่อนสนิทผิวสี 6 คนว่า The Plastic Cup Boyz กลับต้องสะดุดและพังสะบั้นอย่างราบคาบ แบบที่เขาก็พูดเองว่า “เขาทำมันพัง”

เพียงเพราะน้ำผึ้งหยดเดียว

เควิน ฮาร์ท อย่าทำพังเชียว คือสารคดีขนาด 6 ตอนเล่าเรื่องชีวิตของเควิน ฮาร์ทอย่างคลอบคลุมที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเป้าหมายใหญ่ที่สารคดีนี้โฟกัสคือความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงในวงการบันเทิงของเขาซึ่งมีชีวประวัติ เส้นทางการก้าวสู่วงการบันเทิงฮอลิวูด และปัญหาขลุกขลักตลอดระยะเวลาหลายสิบปีในวงการแทรกอยู่ในนั้นด้วย

 

ชีวิต 24 ชั่วโมง

ก่อนที่เควิน ฮาร์ท อย่าทำพังเชียว จะปล่อยหมัดฮุกด้วยการพูดถึงประเด็นใหญ่ที่สั่นคลอนชีวิตและชื่อเสียงในวงการบันเทิง ชีวิต 24 ชั่วโมง คือชื่อสารคดีตอนแรกที่มีส่วนผสมระหว่างการเล่าชีวิต 24 ชั่วโมงจริงๆ ของเคเวิน ตัดสลับกับปูมหลังที่ปลูกสร้างชายหนุ่มผิวสีจากเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาที่ค่อนข้างขมขื่น

เควินเติบโตในครอบครัวที่มีพ่อ แม่ และพี่ชายหนึ่งคน พ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกัน ส่วนพี่ชายก็ใจแตก กลายเป็นนักเลง ใช้ชีวิตสำมะเรเทเมาจนแม่ตัดสินใจไล่พี่ชายออกจากบ้าน

เควินอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งในฟิลาเดเฟียกับแม่ของเขา ชีวิตของเขาถูกตีกรอบอย่างแน่นหนาด้วยตารางชีวิตที่แม่ของเขาออกแบบเอาไว้อย่างชัดเจน มีเวลาไปเรียนหนังสือ-กลับบ้านชัดเจน เควินไม่สามารถแหกตารางชีวิตอันตึงเครียดเหล่านั้นได้เลย แม้กระทั่งการเสพสื่อบันเทิงอย่างวิดีโอเทป ที่เมื่อเขาลองแหกกฎนั้นสักครั้ง เขาได้พบกับโลกของเดี่ยวไมโครโฟนหรือ Stand Up Comedy ที่แสนตลกขบขันและสวยงามจนเขาตัดสินใจกระโจนลงเรือแห่งความฝันนั้น โดยมีระยะเวลาพนันขันต่อกับแม่ของเขาเพียงหนึ่งปีเพื่อทำตามความฝันให้ได้ในที่สุด

กระโจนข้ามเวลาไป 20 ปีให้หลัง เควินกลายเป็นตลกผิวสีที่โดดเด่นทั้งลีลาการแสดงเดี่ยวไมโครโฟนและผลงานทางการแสดงบนจอแก้วและจอเงิน เขาเติบใหญ่ในวงการจนกลายเป็นนักแสดงมากฝีมือ มีบริษัทโพรดัคชันของตัวเองชื่อ Hartbeat Productions ที่ผลิตผลงานในชื่อของเควิน ฮาร์ท ทั้งรายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ หรือสื่อบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ และภาพยนตร์ รวมทั้งเควินได้รับเลือกให้เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์ต่างๆ มากมาย ในสารคดีแทบทุกตอน ฉากที่เราได้เห็นแน่ๆ นอกจาก Vox Pop สัมภาษณ์เควินเอง คือฉากที่เขาคุยโทรศัพท์เรื่องงานและการออกกำลังกายร่วมกับรอน เอเวอร์ลิน คู่หูเทรนเนอร์ส่วนตัวที่คอยพร่ำด่าเควินเรื่องพฤติกรรมไม่ตรงต่อเวลาอยู่บ่อยครั้ง ตัดสลับกับชีวิตครอบครัวที่เควินให้ความสำคัญไม่มากนักเพราะมัวแต่ทำงาน งาน และงาน

ชีวิต 24 ชั่วโมงของเควินคือการอุทิศให้กับการสร้างความสุขดังภาพที่เขาสร้างไว้ด้วยตัวเอง และถูกเติมแต่งจากการถูกเหมารวมจากสิ่งที่เขาทำ

เราเห็นความเหนื่อยอ่อนในแววตาของเขาในชั่วทุกขณะของสารคดี

แต่มีความสุขมั้ย นั่นก็อีกเรื่อง

 

เรื่องที่เกิดในเวกัส

ชื่อเสียงย่อมมาพร้อมกับบริวารที่ห้อมล้อม

ประโยคนี้ไม่ได้ผิดความเป็นจริงเมื่อเราไล่ดูสารคดีชุดนี้จนมาถึงตอนที่ชื่อว่า เรื่องที่เกิดในเวกัส

เควินมีเพื่อนสนิทกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทและอิทธิพลในชีวิตของเขามากรองจากครอบครัวชื่อว่า The Plastic Cup Boyz ชายหนุ่ม 6 คนประกอบด้วยรอน เพื่อนเทรนเนอร์คนสนิทของเควิน รวมทั้งเพื่อนนักแสดงดาราตลกตกอับ และเพื่อนพนักงานในบริษัท Hartbeat Productions 

เควินให้สัมภาษณ์ในสารคดีว่า การมีอยู่ของ The Plastic Cup Boyz คือการโอบอุ้มและช่วยเหลือเพื่อนที่มีคุณปการและมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในชีวิตของเควิน เพื่อให้สมกับที่คนเหล่านั้นช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

มิตรภาพที่เหนียวแน่นนี้เหมือนฟังดูซึ้ง หากแต่เพื่อนบางคนในกลุ่มกลับหักหลังเควินอย่างแสบทรวง จนเกิดคำถามในความสัมพันธ์ของชายหนุ่มแก้วพลาสติกกลุ่มนี้

ครั้งหนึ่งที่เควินและกลุ่มพลาสติกคัพบอยซ์เดินทางไปที่ลาสเวกัส ตามประสาปาร์ตี้บอยและดาราคนดังผู้ใช้ชีวิตท่ามกลางแสงไฟ ย่อมมีนารีเข้าหาเป็นธรรมดา เควินนัวเนียกับหญิงสาวปริศนาคนหนึ่งจนมีคลิปดังกล่าวหลุดออกมา นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของเควินและเอนิโกะ ฮาร์ท ภรรยาของเขาเกิดปัญหาร้ายแรง เควินและผองเพื่อนจึงสืบหาตัวคนทำ จนได้รู้ว่าคนที่ถ่ายและปล่อยคลิปเพื่อแบล็คเมล์เขาคือโจนาธาน ทอดด์ แจ๊คสัน เพื่อนสนิทกว่า 15 ปีของเควิน และผู้มาใหม่ของกลุ่มพลาสติกคัพบอยซ์

แน่นอน เหตุผลคือเรื่องเงิน

โจนาธานให้การปฏิเสธในชั้นศาลทุกข้อกล่าวหา และคดีความของเขาในข้อหาขู่กรรโชคทรัพย์ถูกยกฟ้องเนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ เหตุการณ์นี้ทำให้หนุ่มๆ แก้วพลาสติกต้องกลับมาทบทวนถึงความสัมพันธ์และความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันอีกครั้ง ก่อนที่ทุกคนในพลาสติคัพบอยซ์จะลงมติอันเป็นเอกฉันท์ว่า

จะไม่รับใครเข้ากลุ่มพลาสติกคัพบอยซ์อีก

ส่วนเอริโก เมื่อปรับความเข้าใจกับเควินอย่างหนักหน่วงแล้ว เธอตัดสินใจให้อภัยเควิน และเริ่มต้นกับเควินใหม่อย่างที่เธอให้สัมภาษณ์ในสารคดีว่า

“คนเราให้โอกาสครั้งที่สองได้ แค่คงไม่มีครั้งที่สามอีก”

 

อย่าทำตัวเฮงซวย

หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของเควิน ฮาร์ท ที่เขาต้องการสื่อสารในสารคดีชุดนี้คือ การตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นพิธีกรงานประกาศรางวัลอะคาเดมี อวอร์ด 2019 หรือออสการ์ ส่งผลให้งานประกาศรางวัลในปีนั้นไม่มีพิธีกรเป็นปีที่สองตลอดประวัติศาสตร์การจัดงาน

แน่นอน, พิธีกรออสการ์คือเครื่องการันตีความสามารถและการยอมรับของดารานักแสดงฮอลิวูดสักคน ตั้งแต่ตลกชื่อดังอย่าง เอลเลน ดีเจเนเรส, นีล แพทริก แฮริส, จิมมี่ คิมเมล หรือดาราแถวหน้าอย่างแชนนิ่ง เทธัมเซธ แมคฟาร์เลน, บิลลี่ คริสตัล และแอน แฮตเธอเวย์

จุดเริ่มต้นของมหากาพย์ดราม่านี้เริ่มจากที่มีคนขุดทวีตของเควินตั้งแต่ปี 2009 และ 2011 ที่เขาเคยเขียนถึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศในเชิงดูหมิ่นขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เควินในเชิงลบ ผู้จัดงานออสการ์จึงโทรหาเควินเพื่อให้เขาขอโทษต่อสังคมถึงทวีตดังกล่าว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาขอโทษไปแล้วถึงสองครั้ง ทั้งในทวิตเตอร์ส่วนตัวและรายการวิทยุรายการหนึ่ง ด้วยการกดดันจากทางผู้จัดงานฯ และโลกโซเชียลเควินจึงตัดสินใจปฏิเสธงานพิธีกรครั้งนี้ทั้งที่เป็นความฝันของเขากว่าสิบปี

การตัดสินใจของเควินเองทำให้โลกโซเชียลเดือดกว่าเดิม เพราะการที่เควินปฏิเสธงานพิธีกรครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเควิน “ไม่แคร์” และ “ไม่สำนึกผิด” ในสิ่งที่เขาทำลงไป จึงไม่ทำตามคำของร้องของผู้จัดงานออสการ์ที่ต้องการให้เขาขอโทษอีกเป็นครั้งที่สาม

ในอาณาจักรของเควิน ซึ่งเป็นสารคดีตอนสุดท้าย มีฉากที่เควินต้องรับมือกับดราม่าทั้งหลายจากคำแนะนำของคนในบริษัทโพรดักชันให้ยอมขอโทษเพื่อจบเรื่องราวทั้งหมด แต่เควินไม่ยอมทำตามคำแนะนำเหล่านั้น การเพิกเฉยที่ไม่แสดงความรับผิดชอบอาจส่งผลมากมายตั้งแต่ยอดรายได้จากทัวร์เดี่ยวไมโครโฟนของเขาตกลง ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ถอดเควินออกจากการเป็นพรีเซนเตอร์ ส่งผลให้งานภาพยนตร์หรือสื่อต่างๆ ถูกโปรโมทน้อยลงและส่งผลให้บริษัทโพรดัคชันของเขามีปัญหา จนลามไปสู่การตกงานของพนักงานในบริษัทในที่สุด

แต่การที่เควินยืนยันจะ “มูฟออน” โดยเลือกจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีกไม่ว่าสื่อใดๆ ยกเว้นรายการ The Ellen DeGeneres Show และ Good Morning America ไม่ได้เป็นภาพที่ดีของการจัดการจัดการภาวะวิกฤตหรือ Crisis Management เลยแม้แต่น้อย

ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นภาพซ้อนในหลายๆ เหตุการณ์ดราม่าในประเทศไทยประกบทับได้อย่างแนบสนิทพอดีกับดราม่าของเควิน เพราะอย่าลืมว่าทุกคำพูดที่กล่าวออกไป ทุกการกระทำที่เคยลงมือทำและมีหลักฐานเป็นประจักษ์พยานอย่างชัดแจ้งนั้น ย่อมกลับมาทำร้ายคุณเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ และในฐานะผู้เสพดราม่า ต่อให้คุณจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง แต่ถ้าคุณสวมหมวก “เฮทเตอร์” หรือตั้งธงอคติกับบคุคคลเมื่อไหร่ คุณจะโบยตีเขาอย่างแสนสาหัสอย่างไม่รู้จบและไม่รู้จักพอ ต่อให้เขากล่าวขอโทษเป็นร้อยเป็นพันครั้งด้วยความรู้สึกผิดจนหมดหัวใจแล้วก็ตาม

ผู้เขียนเข้าใจเควินในเหตุผลที่ไม่อยากขอโทษและกล่าวถึงเรื่องนั้นอีก เพราะเรื่องมันจบไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเควิน “อยู่ไม่เป็น” ในดราม่านี้

 

ฉันคนนี้ก็คน

นอกจากดราม่าทวีตเหยียดเพศที่กลายเป็นประเด็นใหญ่ในสารคดีเรื่องนี้ สารคดีเรื่องนี้เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อและพี่ชายที่สุดท้ายกลายมาเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบได้อีกครั้ง หรือเรื่องการทะเลาะกันอย่างรุนแรงของเควินกับรอน ที่สุดท้ายต่อให้เพื่อนที่เรียกตัวเองว่า “ครอบครัว” จะทะเลาะกันแรงขนาดไหน ความเป็นผู้ชายที่ต้องรีบขอโทษ รีบเคลียร์ รีบจบ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราเห็นถึงความรักอย่างหมดใจที่เควินมีให้กับผองเพื่อนพลาสติกคัพบอยซ์

ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับภรรยาของเขาอย่างเอนิโกะก็ราบรื่นและมีความสมบูรณ์พูลสุขดั่งที่ครอบครัวควรจะเป็น ถึงแม้ว่าเควินจะบ้างานเพียงไหน แต่ในช่วงท้ายของสารคดี เควินแสดงภาพคุณพ่อที่ดูแลลูกทั้งสามได้อย่างอบอุ่น และเป็นคุณพ่อที่อยากดูแลลูกให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังวังชาของพ่อคนหนึ่งจะให้ลูกได้

เมื่อดูสารคดีนี้จนจบและมองบทเรียนที่เราได้จากเควิน ฮาร์ท อย่าทำพังเชียว อย่างลึกซึ้ง เควินเปรียบเสมือนตัวแทนมนุษย์คนหนึ่งที่สามารถทำอะไรบางอย่างผิดพลาดไปได้ทุกครั้ง ต่อให้เขาจะเป็นผู้มีอิทธิพลและมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง แต่เพราะความที่คนเรามันผิดพลาดกันได้เสมอนี่แหละ ความผิดต่างๆ ที่เควินทำและเลือกจะเล่าให้ฟังในสารคดีชุดนี้เป็นเหมือนข้อตอกย้ำที่แสดงให้เห็นชัดเจนไปอีกว่า มนุษย์ต้องไม่กลัวความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในชีวิต ต่อให้ผลลัพธ์จะออกมาเลวร้ายและส่งผลในความเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด

เพราะอย่างน้อยมันก็คงจริงที่ว่า ความผิดพลาดทั้งหมดต่างทำให้เราเติบโต

แต่ก็อย่าผิดพลาดบ่อยเกินไปล่ะ

ภาพประกอบ: Hartbeat Productions, Lionsgate, Netflix

เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ bottomlineis.co | มกราคม 2563

Contributors

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด