#ถ้าการเมืองดี นักเรียนมัธยมจะไม่รวมตัวกันหน้ากระทรวงฯ – คุยเรื่องการศึกษา โซตัส และการชุมนุมกับเมนู สุพิชฌาย์

เมนู-สุพิชฌาย์ ชัยลอม คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เดบิวต์การเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการขึ้นปราศัยบนเวที #มอชองัดข้อเผด็จการ เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

เธอบอกว่า นั่นคือการขึ้นปราศัยและการแสดงออกทางการเมืองครั้งแรกในชีวิต

เด็กมัธยมผู้ไม่อยู่ในระบบการศึกษาหรือค่านิยมที่ถูกตีกรอบเอาไว้ เธอตั้งคำถามกับระบบการศึกษาหรือความเป็นอยู่ในโรงเรียนถึงความไม่พัฒนา ไม่สมเหตุสมผล และทุกอย่างควรมีการเปลี่ยนแปลง ที่ต้องเปลี่ยนเพื่อสิทธิ์สองประการ

ทั้งสิทธิ์ที่ผู้เรียนต้องได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ และสิทธิ์ในการแสดงออกตามสนธิสัญญาสิทธิเด็ก

คำปราศัยของเธอกลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน ภาพที่เธอชูสามนิ้วบนเวทีการชุมนุมถูกแชร์เป็นจำนวนมาก

ในวันนั้น ฉันดูการปราศัยของเธออยู่ห่างๆ สารภาพ-เด็กคนนี้ไม่ได้มาเล่นๆ ทุกคำปราศัยของเธอคือหมัดฮุกที่ต่อยเข้าถึงปัญหาของระบบและผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องแบบชนิดที่ใครได้ฟังต้องเห็นด้วย และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องจุกกันไปข้าง

หลายคนคิดว่าเธอคงเคลื่อนไหวทางการเมืองแค่ในนครพิงค์ แต่เธอทะยานเข้าสู่มหานครร่วมกับกลุ่มนักเรียนเลวในฐานะผู้ปราศัยอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เธอแต่งชุดนักเรียนชายและแต่งหน้าเหมือนหุ่นเชิด

เธอใช้ศิลปะและสัญญะในการแสดงออกบ้าง แต่ทุกถ้อยคำบนเวทียังหนักแน่นเหมือนเดิม

เราพบกันที่ใต้ถุนอาคารของโรงเรียนที่เธอเรียนอยู่ เราสนทนาท่ามกลางบรรยากาศจอแจหลังเลิกเรียน ก่อนเราจะคุยกัน มีน้องนักเรียนหลายคนเดินมาทักทายและให้กำลังใจเธออยู่เป็นระยะ

นั่นน่าจะแทนผลตอบรับในการเคลื่อนไหวของเธอได้ดีกว่าที่ฉันจะต้องเช็คกระแสคอมเมนต์ในโลกโซเชียล

แต่คงจะดีกว่านี้ ถ้านักเรียนออกมาแสดงออกในสิ่งที่เขาคิด เพื่อระบบที่ดีขึ้น

ซึ่งเป็นสิ่งที่เมนูปรารถนามาตลอด, ไม่ต่างจากนักเรียนทุกคน

 

เด็กๆ คุณโตมากับอะไร

กับเกมค่ะ (หัวเราะ) หนูก็เกมทุกประเภทเลยค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็น MOBA FPS หรือว่าเกมแบบเล่นตามเนื้อเรื่องที่อยู่ในเครื่อง Playstation

เท่าที่จำได้ เด็กๆ ใช้เวลากับเกมวันๆ หนึ่งกี่ชั่วโมง

โห เมื่อก่อนติดมาก เล่นวันหนึ่งเกิน 10 ชั่วโมงค่ะ ไม่กินข้าวกินน้ำ ไม่ลุกจากที่เลย จนหลังๆ เริ่มปรับเวลาได้แล้วก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ตอนนี้ก็เฉลี่ยประมาณ 2-3 ชั่วโมง ทุกวันนี้ก็ยังเล่นเกมอยู่

ความฝันในวัยเด็ก โตขึ้นอยากเป็นอะไร

อยากเป็นนักพัฒนาเกม ที่สร้างเกมให้คนออกมาเล่นกัน

เป็นความฝันแรกตั้งแต่เด็กเลยมั้ย

ถ้าความฝันแรกอยากเป็นหน่วยซีลค่ะ เพราะว่าชอบหาเรื่องลำบากให้ตัวเอง (หัวเราะ) ก็รู้สึกว่าการเป็นหน่วยซีลมันเท่เพราะมันมีการฝึกที่โหดต่างๆ ซึ่งเมื่อก่อนหนูดูหนังบู๊บ่อยมาก ก็จะเห็นพวกการฝึกหน่วยงานลับของต่างประเทศแล้วรู้สึกอย่างเป็นอย่างนั้นบ้าง

อาชีพพวกนั้นเข้ากับผู้ชาย ถ้าสมมติว่าคุณได้ทำอาชีพนั้นจริงๆ ก็คงจะมีคำครหามากมายถึงความไม่เหมาะสมด้วยเพศสภาพ คุณมีอะไรอยากบอกกับคนเหล่านั้นมั้ย

อย่างแรกก็จะบอกคนพวกนั้นไปว่า ที่พูดอย่างนี้มันเป็นเพราะว่าส่วนหนึ่งของอิทธิพลชายเป็นใหญ่ในอดีต ซึ่งในปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว ผู้หญิงมีบทบาททางสังคมมากขึ้นด้วย แล้วก็จะพยายามพูดให้เค้าเปิดกว้างซึ่งจะไม่ใช้อารมณ์มากนัก

คุณเป็นนักเรียนแบบไหน

เป็นเด็กที่อยู่นอกทุกอย่าง ไม่เคยอยู่ในระบบการศึกษาไทยเพราะว่าหนูเป็นคนที่อยู่ในห้องไม่เรียน แต่มาอ่านเองด้านนอก เคยโดดเดรียนเพื่อมาอ่านหนังสือสอบ อันนั้นคือสิ่งที่หนูทำ แล้วเวลามีการบ้าน ถ้าหนูไม่เห็นประโยชน์จากการทำการบ้านหนูก็จะไม่ทำเอง แต่ไปลอกเพื่อนเอา แล้วก็เคย ส่วนใหญ่หนูจะโดดเรียนไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างเช่นการเขียนโค้ดเกม โปรแกรม หรือการแต่งเพลง ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันได้ความรู้มากกว่าการเรียนรู้อยู่ในห้อง

คุณคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อของระบบการศึกษาไทยมั้ย

คิดว่าเป็นค่ะ ทุกคนเป็น

อะไรที่ทำให้คุณลุกขึ้นมาตั้งคำถาม

มันเริ่มจากตอนประถมค่ะ ที่มีการระบายสีระฆังช่วงตกแต่งคริสต์มาส ครูให้เด็กช่วยกันระบายสี หนูระบายเป็นสีม่วงแล้วก็โดนอาจารย์เรียกมาดุมาว่าว่า ทำไมระบายเป็นสีม่วง ระบายไม่สวย ทำไมไม่ระบายเป็นสีเหลือง หนูก็เริ่มสงสัยแล้วว่ามันแตกต่างไม่ได้เหรอ จนมาเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับระบบการศึกษานี้เลย แล้วก็คิดไปเรื่อยๆ ว่ามันเกิดจากอะไร แล้วก็ตั้งคำถาม

คำถามอะไรบ้าง

ก็อย่างเช่น ทำไมเราต้องเรียนวิชานี้ ทำไมคนที่ลักษณะกายภาพไม่ไปทางด้านกีฬาอย่างหนูต้องเรียนวิชาบังคับที่เป็นกีฬา หรือว่าการที่เราอยากเรียนสิ่งนั้นมากกว่าทำไมเราต้องเรียนในสิ่งที่ไม่จำเป็นกับความต้องการของด้วย

การสอบแข่งขันเพื่อเข้าโรงเรียนใหม่ เป็นเรื่องเล็ก-ใหญ่ ขนาดไหนสำหรับคุณ

เป็นเรื่องใหญ่ค่ะ ชีวิตวัยเด็กของหนูที่เลิกเรียนออกมาเล่นนอกบ้านหายไปหมดเลยค่ะ ต้องมานั่งเรียนพิเศษ นั่งเครียด โดนกดดันให้อ่านหนังสือ โดนลดเล่นเกมทุกอย่าง ต้องอ่านหนังสือ เพราะว่าตอนแรกเค้าให้ไปสอบโรงเรียนเอกชนก่อนด้วย แต่ว่าสอบไม่ติด เค้าก็เลยกดดันกว่าเดิม เอาทุกอย่างที่หนูชอบออกไป ทำให้ตอนนั้นหนูไม่ค่อยมีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับชีวิต ป.6 เลย วนเป็นลูปอย่างนี้อยู่ปีนึง จนกว่าจะถึงช่วงสอบเดือนพฤศจิกายน

เมื่อสอบติดแล้ว นึกภาพสังคมของโรงเรียนใหม่ไว้ว่ายังไง

ก่อนเข้าหนูคิดว่าโรงเรียนนี้มันก็คือโรงเรียนทั่วไปโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งทั่วไปของหนูคือมาตรฐานที่ค่อนข้างสูงกว่าโรงเรียนเดิมที่หนูเป็นอยู่ ก็จะคิดว่าเด็กอาจจะตั้งใจเรียน นั่นแหละค่ะ แต่นั่นคือภาพที่หนูคิดไว้

พอเข้าไปเรียนจริงๆ เจออะไรบ้าง

ค่อนข้างผิดหวัง โดยเฉพาะ ม.1 เจอกับระบบโซตัสซึ่งมันทำให้เวลาตอนเย็นของหนูหายไป ซึ่งมันควรจะเป็นเวลาที่หนูควรไปหาอะไรอย่างอื่นทำ บวกกับต้องมาเจอกับปรับตัวกับสังคมใหม่ ปรับตัวกับหลักสูตรใหม่ ครูใหม่ที่ต้องเรียกว่าอาจารย์ มันก็เลยทำให้รู้สึกว่า มันก็คือโรงเรียนธรรมดาโรงเรียนหนึ่ง ที่มีเด็กหลายประเภทเหมือนเดิม

เมื่อมามีระบบเป็นตัวแปร คุณรู้สึกยังไงกับมัน

ปีหนูเป็นปีที่โชคดีเพราะเป็นปีที่เลิกว๊ากเป็นปีแรก แต่ว่ามันก็ยังมีรากฐานของระบบโซตัสมาเหมือนเดิมก็มีการตวาดเสียง ขึ้นเสียงใส่ วันแรกที่ขึ้นห้องเชียร์ก็รู้สึกสงสัยค่ะ หนูไม่ค่อยโอเคกับการบังคับกันอย่างนี้ แต่ว่าตอนที่เราเป็นเด็กก็เลย อะไรยอมได้ก็ยอมไป ยังติดนิสัย ติดคำสอนที่แม่บอกว่าอะไรยอมก็ยอมไป

ทำไมถึงต้องมีระบบโซตัสในโรงเรียน

เรื่องนี้มันมาจากการที่สภานักเรียนรุ่นแรกๆ ของโรงเรียนได้มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาเองว่า ต้องมีกิจกรรมสานสัมพันธ์รุ่นพี่กับรุ่นน้องนะ จนเกิดมาเป็นเชียร์ขึ้นมา แล้วเชียร์นี้มีการใช้โซตัสมาช่วยด้วย จนกระทั่งมันเปลี่ยนและเพี้ยนมาเรื่อยๆ จนเริ่มมีการใช้อำนาจที่รุ่นพี่มากดรุ่นน้องมากขึ้นเรื่อยๆ จนโซตัสมันกลายพันธุ์ แล้วก็หลังจากนั้นมันก็ยังอยู่ในช่วงที่เด็กยังไม่ค่อยตื่นตัวกับสิทธิ หรือการเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ จนกระทั่งกระแสประชาธิปไทยมันบูมขึ้น ทุกคนก็เลยรู้แล้วว่าที่ผ่านมาโซตัสมันคือเผด็จการ

ใครเป็นคนเริ่มจุดไฟว่าระบบนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง

เป็นเพื่อนอีกคนนึงในโรงเรียน ที่ก็ขึ้นปราศัยของแฟลชม๊อบประชาคมมอชอค่ะ ซึ่งการที่น้องออกมาพูดถึงเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่ดีมาก เพระว่าได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างคนในโรงเรียนกับศิษย์เก่าว่า ความเป็นมาของระบบโซตัสเป็นยังไง มันทำให้เราได้รู้ว่าที่มาของระบบโซตัสและห้องเชียร์มันมาจากอะไร และทำไมมันถึงเพี้ยนออกมาเป็นแบบนี้ จนสภาฯ รุ่นนี้ก็เป็นรุ่นน้องของหนู ก็ได้มีการคุยกันแล้วก็ปรับโซตัสให้อ่อนที่สุดเท่าที่จะทำได้

การที่น้องๆ พี่ๆ ในโรงเรียนพยายามเอาวงจรอุบาทว์นี้ออกไป มันบอกอะไรคุณ

บอกได้ถึงการที่เด็กสมัยนี้เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพของตัวเองขึ้นมา แล้วเขาก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงมัน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยาก มันไม่เป็นไร แต่การเปลี่ยนแปลงทีละนิดเป็นสิ่งที่ดีค่ะ

เคยมีปัญหากับครูบาอาจารย์มั้ย

บ่อยค่ะ (หัวเราะ) ครั้งหนึ่งมันเป็นวิชานาฎศิลป์ค่ะ แล้วเค้าก็มีให้ส่งสมุดแล้วตอนนั้นหนูลืมเอาสมุดมา ก็คือลืมเอามาจริงๆ ก็โดนด่า โดนว่าเรื่อยๆ จนอาจารย์เรียกผู้ปกครองมา แล้วให้กราบเท้าผู้ปกครอง อันนั้นหนูรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุดในการเป็นอาจารย์ที่ใช้อำนาจกดขี่นักเรียน ตอนนั้นจำเป็นต้องทำไปก่อนค่ะ เพราะว่าพ่อก็ไม่อยากมีปัญหา แล้วก็รู้สึกว่าอาจารย์คนนี้ไม่สามารถพูดด้วยเหตุผลได้

สมมติว่าถ้าคุณเอาเหตุผลไปสู้ คุณคิดว่าเรื่องนี้จะจบยังไง

หนูคิดว่าหนูควรกลับไปทำแบบนั้น (หัวเราะ) เพราะว่ามาคิดตอนนี้หนูรู้สึกว่าหนูยอมเกินไป ถ้าหนูกลับไปทำแบบนั้นจริงๆ หนูว่าเค้าน่าจะตื้อแล้วก็เลิกทำไปเอง ไปทำกับนักเรียนคนอื่นเอง

ปัญหาในระบบการศึกษาไทยที่นอกจากพยายามทำให้นักเรียนทุกคนเป็นแบบเดียวกัน คุณว่ามีปัญหาอะไรอีก

ล้าหลังค่ะ (ตอบทันที) เนื้อหายังล้าหลังอยู่ ซึ่งเนื้อหาอาจจะถูกต้องและใช้ได้จริงใน 10-20 ปีก่อน แต่ตอนนี้มันปี 2020 มันควรอัพเดทให้ทัน ซึ่งเนื้อหาที่ดีสำหรับหนูคือเนื้อหาที่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้ แต่ว่ายังมีบางวิชาที่เรียนไปทำไมไม่รู้ แถมยังปลูกฝังค่านิยมผิดๆ ซึ่งมันล้าหลังมากๆ

เช่น

วิชาสุขะค่ะ ที่บอกว่าผู้หญิงต้องทำงานบ้าน ผู้ชายต้องไปทำงานหาเงิน การกำหนดหน้าที่ของคนในบ้านไม่ควรถูกกำหนดโดยสังคม แต่ควรเป็นเรื่องที่กำหนดกันเองในครอบครัว หรือว่าจะเป็น Mind Set ที่ว่าผู้หญิงต้องเป็นช้างเท้าหลัง ต้องทำตามผู้ชายนะ ซึ่งมันก็เป็นผลมาจากระบบปิตาธิปไตยอีกแล้ว มันก็ยังล้าหลังอยู่ หรือหนูเคยเรียนวอลเลย์แล้วต้องดามแขนเพราะว่าสอบไม่ผ่าน มันก็เลยกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สงสัยว่าเรากำลังถูกบีบอัดให้เป็นบล็อคเดียวกันรึเปล่ากับเด็กไทย เพราะว่าหนูรู้สึกว่าทุกคนมีความสามารถที่หลากหลาย ไม่ควรเจอการสอนแบบเดียวกัน มันควรขึ้นอยู่กับผู้เรียนมากกว่าผู้สอนค่ะ อีกอย่างหนึ่งคือ หนูเห็นพวกการสื่อสารทางเดียวอย่างที่อาจารย์จะพูด นักเรียนก็ฟังแล้วจดตาม หรืออาจจะเป็นการที่เราตั้งคำถามกับการเรียนหรือเนื้อหาการสอนไม่ได้ หรือจะเป็นการที่อาจารย์ไม่ใส่ใจกับการเรียนจริงๆ อย่างเช่นการสั่งการบ้าน สักแต่ว่าสั่งไปเพื่อให้คะแนน แต่ไม่คิดว่าการสั่งการบ้านไปนั้นนักเรียนได้อะไรกลับมา

ศัพท์แสงบางคำที่คุณพูดขึ้นมา เด็กยุคนี้พูดเยอะมาก คุณเรียนรู้มาจากไหน หรืออะไรที่ทำให้คุณสนใจทฤษฎีทางสังคม

อินเทอร์เน็ตเลยค่ะ ข้อได้เปรียบของเด็กเจนนี้คือเติบโตมากับเทคโนโลยีที่กำลังจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นการเข้าถึงความรู้หรือสาระเพิ่มเติมเลยเป็นอะไรที่ง่ายและเร็ว และสามารถตรวจสอบความแม่นยำได้ดีกว่าการอ่านหนังสือหรือว่าถามผู้รู้ แต่ว่ามันก็จะแลกมากับการที่มี Fake News หรือว่าข่าวปลอม ข้อมูลลวง ซึ่งต้องใช้ทักษะ Critical Thinking (การคิดเชิงวิพากษ์) เข้ามาช่วย ทำให้เราสามารถรับสื่อได้ถูกต้อง

เด็กมัธยมยุคนี้ได้เรียน Critical Thinking มั้ย

ไม่มีค่ะ เท่าที่เห็นตอนนี้ยังไม่มีการสอนเรื่องนี้อย่างจริงจัง

Critical Thinking จำเป็นกับเด็กยุคนี้มากน้อยขนาดไหน

จำเป็นค่ะ มันฝึกทำให้เราคิดอย่างมีเหตุผลและมีกระบวนการมากขึ้น ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน แล้วก็สามาถใช้ทักษะนี้ในการคัดกรองข่าวหรือว่าคัดกรองผู้พูดแต่ละคนได้เป็นอย่างดี

การที่คุณสนใจเรื่องพวกนี้ ทำให้คุณกลายเป็นคนที่แปลกแยกในกลุ่มเพื่อนมั้ย

ก็มีบางอย่างบ้างที่รู้สึกว่าเพื่อนพูดออกมาแล้วมันไม่ถูกต้อง ก็ถ้าแย้งไปเค้าก็จะ​ โอเค รับฟัง แล้วเค้าก็กลับไปโหมดเฮฮาเหมือนเดิม ก็ยังไม่มีอะไรค่ะ

เป็นข้อดีของเด็กยุคนี้มั้ยที่เปิดกว้างในเรื่องการแสดงความคิดเห็นกันมากขึ้น

ใช่ค่ะ หนูว่าเป็นข้อดี และทำให้หนูได้คุยกับเพื่อนค่อนข้างบ่อย ในเรื่องการเมืองหรือทัศนคติต่อการเมือง เป็นเรื่องที่เถียงกับเพื่อนบ่อยเพราะว่ายังมีหลายคนที่ได้รับข่าวที่ยังไม่ถูกต้อง ก็ช่วยแก้ให้ แต่ก็ยังไม่มีการโต้เถียงกันด้วยอารมณ์ ยังใช้เหตุผลกันอยู่

อะไรทำให้คุณออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างเปิดเผย

พอเราเห็นข่าวว่าคนที่แสดออกทางการเมืองโดนจับ หนูรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม แต่แรงบันดาลใจที่ออกมาพูดจริงๆ คือ ไม่มี แค่อยากไปม๊อบ แล้วก็ทักเข้าไปในเพจประชาคมมอชอว่า อยากไปม๊อบจังเลยค่ะ เค้าก็พิมพ์กลับมาว่า โอเค กำลังรับสมัครสต๊าฟพอดีนะ แล้วก็มีสต๊าฟปราศัยขึ้นมา แล้วหนูก็ตัดสินใจภายใน 15 วินาทีเลยว่า อยากปราศัยจัง อยากลอง ก็เลยขอปราศัยไปเลย แล้วเค้าก็ให้

การจะแสดงตัว มันตัดสินใจง่ายๆ ได้เลยเหรอ

มันมาจากการที่หนูคิดว่าการออกมาพูดหรือแสดงความคิดเห็นไม่ควรเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือโดนจับค่ะ หนูก็เลยคิดว่าถ้าออกมาพูด ก็ไม่เป็นไรหรอก แล้วถ้าโดนจับก็จะไม่อยู่เฉยๆ แน่นอน

คุณบอกใครมั้ยว่าจะไปปราศัย

ตอนนั้นไม่บอกใครเลยค่ะ จนกระทั่งวันปราศัย ทุกคนถึงรู้ตอนนั้นว่าหนูขึ้นปราศัย เพื่อนๆ ก็ไม่รู้ พ่อแม่ไม่มีใครรู้สักคน แล้วก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นไวรัล ชื่อจริง โรงเรียน กับหน้าก็จะหลุดออกมาในวันนั้นเลย อันนั้นก็พีคเหมือนกัน ไม่รู้สึกเดือดร้อน

คุณทำการบ้านยังไงบ้าง

บอกตามตรงว่าไม่ได้ทำการบ้าน (หัวเราะ) เพราะว่าสคริปต์หนูคิดก่อนปราศัยตอนเที่ยงคืน คิดสคริปต์เสร็จตอนตีสอง แล้วช่วงนั้นบวกกับที่มีกระแสข่าวของ Hackhocker หรือกระแสอื่นๆ ที่เป็นเชื้อไฟมา ก็เลยเอาข่าวนี้มาอ้างอิงด้วย แล้วก็ไปหาเพิ่มมาว่าอนุสัญญาสิทธิเด็ก มันมีข้อไหนบ้างที่รับรองว่าเราออกความเห็นได้

เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคุณมั้ย ที่ได้เดบิวต์ออกสื่อด้วยการพูดเรื่องการเมือง

เป็นเรื่องใหญ่ค่ะ เพราะว่าพอเห็นจำนวนคนที่มันมากกว่าที่คิดไว้ ก็รู้สึกแพนิค ตื่นเต้น แล้วก็เริ่มดีด เดินไปเดินมา ดมยาดม พอขึ้นไปมือก็สั่น

เมื่อได้พูดในสิ่งที่คิดและเตรียมมา ผลตอบรับจากผู้ร่วมชุมนุมหรือคนในอินเทอร์เน็ตเป็นยังไง แล้วคุณรู้สึกยังไง

เกินที่ตัวเองคาดไว้ค่ะ คือหนูได้คำแนะนำจากพี่ๆ ที่ปราศัยคนก่อนๆ ว่าพยายามพูดให้อิมแพคนะ คนจะเฮตาม มันจะได้อิมแพค แล้วหนูก็กลัวว่ามันจะไม่อิมแพคพอ แต่พอเอาเข้าจริงพูดประโยคนึง คนเฮทีนึง ก็เลยทำตัวไม่ถูกว่าควรทำยังไง เลยแกล้งทำเป็นอ่านสคริปต์ สคริปต์ก็ไม่มีอะไรนอกจากหัวข้อแล้วก็พูดสดเอา

คุณรับรู้มั้ยว่ามี Hate Speech ถึงคุณ

รับรู้ตลอดค่ะ เพราะว่าเป็นคนชอบอ่านคอมเมนต์ ก็นั่งอ่านดู เพราะว่านิสัยหนูอาจจะมี Self-Esteem สูง Hate Speech ส่วนมากที่อ่านก็จะอ่านด้วยความรู้สึกตลกๆ มากกว่า อ่านไปขำไป แต่ก็จะมีบางอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่ขึ้นมาบ้าง แต่ว่าคิดในมุมอีกทีนึง เค้าคือคนหลังแป้นพิมพ์ ที่สามารถพิมพ์อะไรก็ได้กับคนที่อยู่ในสปอตไลต์ ซึ่งมันเป็นปกติที่เค้าจะแสดงด้านมืดของตัวเองออกมา ซึ่งหนูไม่สามารถตอบโต้อะไรได้อยู่แล้ว วิธีของหนูก็คืออ่านเฉพาะคอมเมนต์ที่มีประโยชน์ แต่คอมเมนต์ที่รู้สึกว่ามันไม่ได้กลั่นกรองก็จะไม่ใส่ใจเลย

หนูว่าส่วนหนึ่งสังคมขาด Empathy หรือการเห็นอกเห็นใจกัน ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็มาจากระบบการศึกษาไทยเหมือนกัน หนูก็คิดว่านี่แหละ เพราะคอมเมนต์พวกนี้แหละ หนูเลยต้องออกมาพูดเรื่องการศึกษาไทย เพราะมันจะทำให้คนแบบนี้เป็นแบบนี้แหละ ถ้าการศึกษาไม่ดีขึ้น

หลังกิจกรรมจบ กลับบ้านไปเจออะไรบ้าง

หลังม๊อบจบหนูต้องกลับไปรอพ่อที่โรงพัก (หัวเราะ) แล้วพ่อก็รู้วันนั้นเลยเพราะว่ามีสายสืบบอกพ่อมา พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็บอกว่าถ้าจะพูดก็พูดใน มช. นี่แหละเพราะพ่อช่วยคุมได้ แล้วก็อย่าพูดอะไรที่สุ่มเสี่ยง

การปราศัยที่กรุงเทพฯ ร่วมกับกลุ่มนักเรียนเลว ต่างจากการปราศัยที่เชียงใหม่ยังไง

ต่างค่ะ ต่างกันเรื่องอากาศ ร้อนมาก แล้วก็เรื่องพวก นิสัยคนของคนที่มาชุมนุมอะค่ะ จะต่างกันอยู่ การพูดก็เลยต้องปรับเปลี่ยนไปนิดนึง แล้วตรงนั้นมันอาจจะอันตรายกว่าด้วย ก็เลยต้องปรับเปลี่ยนคำพูดหน่อย เพราะแฟลชม๊อบที่กรุงเทพมันค่อนข้างแรงกว่าเชียงใหม่ เพราะว่ากรุงเทพมันก็มีกระทรวงตั้งอยู่เยอะ แล้วก็ตำรวจตั้งอยู่เยอะ ความปลอดภัยหรือความรุนแรงอะไรก็จะมากกว่า ซึ่งคนที่หัวรุนแรงหรือไปที่สุดเลย ไม่ประณีประนอมก็จะไปอยู่ตรงนั้นบ้าง ก็จะมีบ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะ แล้วบวกกับการที่กลุ่มนักเรียนซึ่งอายุเท่ากันกับเราออกไปพูด ก็จะเหมือนพูดให้กับเพื่อนฟัง เพื่อนก็จะนั่งมองชิลล์ๆ เหมือนเพื่อนฟังกันพูด ต่างกับที่เชียงใหม่ด้วยความที่เราเป็นเด็กแล้วคนที่มาฟังเป็นนักศึกษา เค้าก็จะค่อนข้างเซอร์ไพรส์กับการที่เด็กมัธยมออกมาพูด เสียงเฮก็จะเยอะกว่า

เด็กต่างจังหวัดกับเด็กในเมืองหลวงต่างกันยังไงบ้าง

นิสัยต่างกันเพราะว่ามาจากต่างสภาพสังคมด้วยค่ะ อย่างกรุงเทพเค้าก็จะติดนิสัยรีบๆ คุยเร็วๆ ให้จบ แต่เชียงใหม่ก็จะต๊ะต่อนยอน จะวน 4-5 แม่น้ำไนล์แล้วก็เข้าเรื่อง ก็จะมีบ้าง แต่สุดท้ายก็จะจูนได้เพราะวัยใกล้เคียงกัน แล้วมีอุดมการณ์เดียวกัน

เวทีปราศัยที่คุณขึ้นพูด มีการดีเบตระหว่างตัวแทนกลุ่มกับรัฐมนตรีท่านหนึ่ง คุณเห็นอะไรจากการดีเบตครั้งนี้

หนูไม่ค่อยคาดหวังคำตอบของเค้าอยู่แล้ว เพราะหนูก็ทราบวิสัยทัศน์ของเค้าดีว่าเป็นยังไง แต่ว่าการที่เค้ายอมมาขึ้นก็โอเค เพราะผลตอบรับที่เค้าได้รับมันก็เป็นสิ่งที่เค้าสมควรได้รับ แต่ว่าการที่เด็กร้องเพลงเชียร์ให้เค้าออกมา มันแสดงให้เห็นแล้วว่าเสียงของเด็กมีพลัง แล้วการที่เค้าออกมาพูดครั้งนี้มันพิสูจน์แล้วว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าเค้าและเด็กที่กำลังฟังอยู่ กำลังผิดหวังในสิ่งที่เค้าทำอยู่

สองวันให้หลัง รัฐมนตรีท่านนั้นกลับกล่าวให้ร้ายถึงการชุมนุมครั้งนี้ในการอภิปรายในสภา

โอ้ว (อึ้งแล้วเว้นวรรค) รู้สึกผิดหวังกว่าเดิม และนี่คือเหตุผลที่เราต้องออกมาพูดและอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เพราะคนที่เป็นผู้นำระบบการศึกษา มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ

ท่าทีของรัฐมนตรีท่านนั้น สะท้อนถึงความน่าเชื่อถืออะไรในระบบการบริหารของกระทรวงฯ

ปกติก็ไม่เชื่อใจอยู่แล้ว (หัวเราะ) เพราะว่าหนูยังรู้สึกว่าผู้ใหญ่หรือกระทรวงศึกษามองว่าเด็กยังไร้คุณภาพอยู่ ซึ่งขัดแย้งกับโลกความเป็นจริงที่เด็กเก่งขึ้น มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น มันผิดจากสิ่งที่เค้าคิดและเค้ายังไม่ยอมรับในจุดนี้ เค้ายังคิดว่ามีคนหนุนหลังเค้าอยู่เพราะไม่ได้ขี่รถสุขามาเอง อันนี้เป็นสิ่งที่เค้าต้องกลับไปปรับความคิดตัวเองใหม่

ได้คุยกับพี่ๆ สื่อมั้ย

คุยเยอะมากค่ะ เพราะวันนั้นหนูแต่งหน้าเป็นหุ่นเชิด ที่แต่งหน้าเพราะว่าการศึกษากำลังหล่อหลอมให้นักเรียนเป็นหุ่นเชิด ต้องเชื่อง ไม่มีสิทธิ์พูด ไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น ไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถาม แล้วก็ต้องทำตามในสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องการ แล้วก็จะมีการแต่งตัวเป็นขุดนักเรียนชายด้วยค่ะ ก็จะสื่อว่าไม่ว่าจะเป็นทรานส์ LGBTQ หญิงแท้ ชายแท้ เค้ามีสิทธิ์ในการแสดงออกความเป็นตัวของตัวเอง เพราะว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน

ตัวเลขนักเรียนหลักพันที่ออกมาชุมนุม บอกถึงอะไรในเด็กยุคนี้

หนูว่าส่วนหนึ่งที่เค้ามาไม่ได้ตามกระแสแน่นอนค่ะ เพราะว่ามันเป็นวันหยุด ซึ่งไม่มีเรียนอะไรสักอย่าง การที่จะแต่งชุดนักเรียนมากระทรวงศึกษามันไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ ในวันนั้น คนที่มาที่นี่คือคนที่มีอุดมการณ์ คนที่อยากเห็นว่าอนาคตของเราดีขึ้น คือคนที่อยากให้การศึกษาไทยดีขึ้น และมันก็ Impact มาก

ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่เคยมีนักเรียนออกมาเคลื่อนไหวเลย ทำไมคราวนี้นักเรียนออกมาด้วย

ตอนนี้ทนไม่ไหวแล้วค่ะ ไม่มีใครอยากทน มาจากความอิสระด้วย อย่างที่บอกว่ากระแสของประชาธิปไตยมันบูมมากขึ้น และหลักการของประชาธิปไตยคือประชาชนซึ่งมีสิทธิ์ในการแสดงความเห็น มันทำให้นักเรียนก็คือคนที่สามารถออกมาพูดได้เหมือนกัน

มีเด็กมัธยมโดนหมายเรียกจากผู้มีอำนาจแล้ว คุณเห็นอะไรจากเรื่องนี้

เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถทำตามสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ได้อย่างแน่นอน เพราะว่าเค้าก็มีการบอกไว้ก่อนว่าจะไม่มีการคุกคามเด็กนักเรียน สิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ยืนยันว่าคำพูดของเขามันไร้น้ำหนัก แล้วก็มันเป็นเครื่องที่ยืนยันว่าทำไมต้องออกมาพูด เพราะว่าการที่ออกมาพูดและมีคนโดนจับเพราะเห็นต่าง มันทำให้เรายิ่งต้องออกมาพูด

ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งคุณโดนคุกคามซะเองล่ะ

หนูก็ไม่กลัวนะคะ เพราะว่ามีคนรอซับหนูเพียบเลย แล้วประกอบกับการที่หนูตั้งใจวางแผนว่าการออกมาม๊อบแต่ละครั้งหนูต้องการสร้าง Impact ให้มากพอและพื้นที่สื่อให้มากพอที่จะอยู่กลางสปอตไลต์แล้วไม่เป็นอะไร ก็เลยค่อนข้างสบายใจว่าถ้าโดนคุกคามปุ๊บ ไม่มีใครจะทำอะไร นอกจากเพื่อนๆ นักเรียน นักเคลื่อนไหวหลายๆ คนที่ไปสร้างสัมพันธไมตรีด้วย

และชั่วโมงที่การเมืองไม่ปกติ คุณมองว่าคนที่เพิกเฉยหรือ Ignorance ผิดมั้ย

หนูมองเป็นสองกรณีก็คือเค้าไม่อยาก Ignore แต่รอบข้างกำลังกดดันให้เค้าต้องเมินไป ซึ่งอันนี้ กรณีนี้หนูว่าเค้าไม่ผิด กับอีกกรณีคือ Ignore เพราะกลัวตัวเองจะเดือดร้อนหรือว่าเพราะไม่อยากยุ่งกับเรื่องที่เป็นส่วนรวมเพราะว่ามันไม่ถูกต้องพอ เพราะว่าเรื่องการเมืองเป็นเรื่องส่วนรวมของทุกคน ถ้าเราเปลี่ยนแปลงได้ มันจะส่งผลดีให้กับเราแน่นอน หนูมองว่า Ignorance เป็นการสนับสนุนฆาตกร แต่ไม่ได้เป็นฆาตกรเอง

 


ถ้าการเมืองดี นักเรียนไทยจะเป็นอย่างไร

คิดว่าจะดีขึ้นค่ะ เราจะเห็นความสำคัญของการศึกษามากขึ้น และเราจะได้รับมันอย่างเท่าเทียมกันทุกคน ซึ่งมันจะเป็นอะไรที่ดีมากเพราะสมัยนี้ตลาดงานต้องการแรงงานหลากหลายมากขึ้น ถ้าการศึกษาดี เราจะเห็นคุณค่าของการศึกษา

 

ภาพประกอบ: สุพิชฌาย์ ชัยลอม

Contributors

สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์

นักเล่าเรื่องที่ใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมือและศรัทธาในพลังของงานเขียน ผู้ชอบตัวเองตอนนั่งสัมภาษณ์ผู้คนที่สุด

ปิยวัฒน์ แสงเงินชัย

อดีต Visual Director และกองบรรณาธิการ Behind The Scene