Small Narrative คือคอนเทนต์ย่อยบนแฟนเพจ Behind The Scene ที่เล่าเรื่อเล็กน้อยแต่มีความน่าสนใจ ซึ่งนับแต่เปิดตัว Behind The Scene: Digital Publishing ที่ว่าด้วยเบื้องหลังของทุกวงการเท่าที่เป็นไปได้ จรดถึงการมาของ behindthescene.co เรานำเสนอคอนเทนต์ย่อยในหลากหลายประเด็นตั้งแต่เรื่องเรียบง่ายไปจนถึงประเด็นใหญ่ทางสังคมที่ชวนขบคิด เรารวบรวม 4 เนื้อหาเด่นตลอดเดือนกันยายนและตุลาคมมาให้คุณได้อ่านกันอีกครั้งในบทความนี้
ฉลาดเกมส์โกง-เมื่อตอนจบแบบทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว อาจไม่ตอบโจทย์ผู้ชมที่หมดศรัทธาในความยุติธรรม
เรื่อง: สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์
เราน่าจะเปรียบ “ฉลาดเกมส์โกง” ละครโทรทัศน์สุดระทึกที่ว่าด้วยเรื่องการโกงข้อสอบของแบงค์ ลิน พัฒน์ เกรซ สี่นักเรียนแห่งโรงเรียนกรุงเทพทวีปัญญาเพื่อสองจุดประสงค์คือเงินนับสิบล้าน และการต่อสู้กับระบบการศึกษาที่สุดแสนเน่าหนอน เหมือนกับการทานคอร์สอาหารที่เสิร์ฟสลัด เมนูเรียกน้ำย่อยและอาหารเมนคอร์สอย่างมีลูกเล่นแบบอาหาร Innovative หากแต่ของหวานที่เสิร์ฟปิดท้าย กลับเป็นกล้วยบวชชีธรรมดาๆ ที่มีรสชาติอร่อย แต่กลับขัดอารมณ์และธีมของชุดอาหารทั้งหมด ทำให้หลายคนคงเซ็งกับการทานอาหารคอร์สนี้ ที่ควรเสิร์ฟเมนูที่คู่ควร แต่บางคนกลับมองว่า กล้วยบวชชีที่ปิดท้ายมื้ออาหาร กลับสร้างความลงตัว ให้อาหารมื้อพิเศษเต็มไปด้วยความอร่อยที่น่าพึงพอใจด้วยฝีมือของพ่อครัว จากการต่อขยายตอนจบของภาพยนตร์ที่แบงก์ชวนลินเข้าแผนใหญ่ในการโกงข้อสอบ GATT และ PATT (อ้างอิงชื่อเฉพาะจากละคร) ซึ่งเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับชาติของไทย ที่จะทำเงินได้หลักสิบล้าน โดยมีพัฒน์และเกรซเป็นผู้สมคบคิดในโปรเจคต์นี้ มหากาพย์ขโมยข้อสอบจากโรงพิมพ์ในชั่วข้ามคืนที่ระทึก บีบคั้น และกดดันจากการแตกคอกันเองของเพื่อนสี่คนจนนำไปสู่การถอนตัวเพื่อสารภาพผิดของลิน ทำให้สามทหารเสือทั้ง พัฒน์ เกรซ แบงค์ ต้องถูกดำเนินคดีในที่สุด อำนาจเงินทำให้พัฒน์รอดตัวไปสบายๆ เกรซและลินก็ยังถือว่าลอยตัว แต่กับแบงค์ เขาต้องเอาอนาคตที่แทบไม่เหลือไปแลกในคุกเยาวชน แบงค์ก็ยังเป็นเหยื่อในเรื่องนี้อยู่ดี เมื่อเทียบกับอีกสามคนที่อยู่ในแผนเดียวกันนี้ นอกจากความพยายามในการทำให้เราเห็นว่าลิน นางเอกของเรื่อง สำนึกผิดกับสิ่งที่เธอทำ และต้องการทำให้ถูกต้อง จะเด่นชัดขนาดไหน แต่ถ้าย้อนกลับไปดูสิ่งที่เธอทำกับแบงค์ ทั้งชวนมาโกงสอบ STIC จนแบงค์เสียอนาคตไปแล้วครั้งหนึ่ง มันช่างย้อนแย้งสิ้นดี ยิ่งผู้ชมส่วนหนึ่งมองว่า มันอาจไม่ใช่การกลับตัวกลับใจของคนทำผิด แต่เป็นแค่การเอาตัวรอดและปัดสวะให้พ้นตัวไปเท่านั้นหรือไม่ หรือแบงค์ที่เชื่อในความถูกต้องจนลุกมาจัดการสิ่งที่ผิดให้ถูก ก็ถูกสังคมลงโทษ พอแบงค์หันเข้าด้านมืดที่จะโกงและโกงเท่านั้น โชคก็ไม่เข้าข้าง ทำให้แบงค์ต้องพบกับความระกำจากการโกงที่เขาทำ ไม่รู้ว่าเขาโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ แต่นั่นก็พิสูจน์อีกค่านิยมของสังคมที่บูดเบี้ยวนี้ว่า ทำดี ไม่ได้ดี แต่ถ้าทำไม่ดี คุณก็ไม่ได้ดีเช่นกัน และเมื่อพูดถึงฉากจบของเรื่อง ที่ทำให้ตัวละครรู้สึกผิดชอบชั่วดี ว่าการโกงไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัย ต่อให้มีอะไรล่อตาล่อใจเท่าไหร่ แถมแผนการใหม่ที่จะโค่นล้มระบบด้วยวิธีที่ถูกต้องตามขนบ กลับทำให้ผู้ชมส่วนหนึ่งแสดงความคิดเห็นอย่างเผ็ดมันถึงการเลือกจบแบบ “ตกม้าตาย” ที่แบนแสนแบน ตามกรอบค่านิยมที่สังคมไทยขีดเขียนไว้อย่างไม่สมเหตุสมผล แต่ตอนจบแบบนี้สร้างความประทับใจและความ “กล้า” ที่จะสะท้อนสังคมของผู้ผลิตผ่านบทสนทนาของลินและแบงค์ ซึ่งลินเสนอให้แบงค์เรียนนิติศาสตร์เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เธอที่จะเรียนครู สามารถช่วยแบงค์ในการเปลี่ยนสังคม เหมือนที่เธอบอกแบงค์ในระหว่างเยี่ยมญาติว่า “รุ่นเราต้องไม่มีการโกงเกิดขึ้นอีกแล้ว” เหมือนจะเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของคนหนุ่มสาว แต่หลายคนกลับไม่เชื่อในมายาคติที่ละครสร้างขึ้น ท่ามกลางสังคมที่โหดร้ายโสมมเสียเหลือเกิน มองกันในมุมการตลาด ตอนจบแบบกึ่งยิงกึ่งผ่านแบบนี้ สร้างกระแสให้ผู้คนแสดงความเห็นและถกเถียงกันเป็นวงกว้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เรามองเห็นว่าผู้ผลิตทำถูกแน่ๆ คือ สื่อต้องชี้นำสังคมให้เห็นว่าอะไรถูกต้อง คู่ควร ดีงาม ถึงแม้คนในสังคมจะไม่เชื่อภาพเหล่านั้นเลยก็ตามที
Vitamin D from The Sun จากชุดจังหวะร้องรำทำเพลงใต้คณะของกลุ่มเพื่อนสนิท สู่การทำเพลงด้วยความสุขแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เรื่อง: สุรพันธ์ แสงสุวรรณ์
เรื่องมันเริ่มจากที่เพื่อนคนหนึ่งชักชวนเพื่อนอีกคนหนึ่ง ไปถึงเพื่อนอีกคนหนึ่ง ลากยาวไปถึงเพื่อนหนึ่ง นำพาเพื่อนอีกคนหนึ่ง และเห็นเพื่อนอีกคนหนึ่งว๊ากแบบศิลปินร็อกต่อหน้าทุกคนในวันรับน้องให้มาเข้าชมรมดนตรีคณะฯ และกลายเป็นกลุ่มคนที่ใช้เวลาในห้องซ้อมของชมรมมากที่สุด และสุดท้ายก็รวมวงกันกลายเป็นวงดนตรีที่ทำเพลงกันแบบกิจจะลักษณะ ถ้าเล่าเรื่องจุดกำเนิดแบบกวนๆ ของคนกลุ่มนี้ แบบที่เราคุ้นเคยและเห็นการเติบโตของพวกเขา น่าจะได้แบบนี้ Vitamin D from The Sun คือการเดินทางบนเส้นทางสายดนตรีของเทพ-ร้องนำ, โฟล์ก-กีตาร์, ซัง-กีตาร์, ก้อง-เบส, ต้น(ยักษ์)-มือกลอง และพี-ทรัมเป็ต กลุ่มเพื่อนจากคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่รวมกลุ่มเล่นดนตรีกันด้วยแนวเพลงแบบอัลเทอเนทีฟร็อกขับกล่อมเพื่อน-พี่-น้อง ใต้คณะในวันรับขวัญบัณฑิต ก่อนจะพาตัวเองขึ้นสู่เทศกาลดนตรีขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัย ที่ในขณะนั้นพวกเขาคือวงๆ เดียวที่สมาชิกเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทั้งหมด ที่ได้รับคัดเลือกให้ขึ้นเล่นต่อหน้าผู้ชมเรือนสามพันชีวิต จนเมื่อทุกคนเล็งเห็นว่าวงมีศักยภาพที่จะไปต่อได้ ประกอบกับก้อง-สมาชิกในวง อยากลองทำเพลงส่งประกวดในโครงการ Good Hope Music Academy สมาชิกทุกคนจึงเห็นด้วยและตั้งใจทำเพลงส่งประกวดกันอย่างจริงจัง โดยมีปลายทางรางวัลคือ การได้นำเพลงไปโปรดิวซ์ด้วยฝีมือของรัฐ พิฆาตไพรี มือกีตาร์วง Tattoo Colour นั่นจึงกลายเป็น “ล้า” ซิงเกิลแรกที่พูดถึงความเหนื่อยล้าอ่อนแรงในชีวิตของคนๆ หนึ่งที่อยากพาตัวเองไปพักผ่อนและหลีกหนีจากความไม่ยุติธรรมของโลก น่าเสียดายที่เขาไม่ถูกรับเลือกในโครงการฯ ปีแรก จึงทำให้พวกเขาปล่อยซิงเกิลแรกลงอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเองก่อนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 จนเขาลองส่งเพลงนี้เข้าไปในการประกวดเวทีเดิมอีกครั้ง คราวนี้พวกเขากลายเป็นผู้ชนะของโครงการ และได้ร่วมงานกับรัฐ-หนึ่งในคนดนตรีที่พวกเขานับถือ ผ่านเวลามาหลายปี Vitamin D from The Sun มีเพลงออกมาหลายซิงเกิลทั้ง “เวลาที่ร่ำลา” เพลงที่พูดถึงความสัมพันธ์ของเทพและคุณพ่อของเขา โดยมีวัตถุดิบที่ดีมากที่ประกอบรวมให้เพลงนี้เศร้าได้ใจพวกเราคือ เสียงสนทนาจริงๆ ของเทพและพ่อ รวมถึงเรื่องราวที่แปลงจากความทรงจำที่เทพมีต่อพ่อของเขา “ไปสบาย” เพลงจังหวะสบายๆ ประกอบด้วยเสียงทรัมเป็ตนวลๆ ว่าด้วยเรื่องของคนๆ หนึ่งที่ต้องการใครสักคนที่ทำให้เขาสบายใจที่จะอยู่ด้วย และ “งอแง” ซิงเกิลใหม่ของพวกเขา กับเพลงเนื้อหาจากคนผิดหวังที่อะไรก็ไม่เป็นไปดั่งใจ แต่เขาแค่ขอพักแล้วอยากเริ่มใหม่ สิ่งหนึ่งที่เราเห็นจากงานของคนกลุ่มนี้นอกจากเสียงทรัมเป็ตในเพลงของพวกเขาที่เป็นเอกลักษณ์เด่น เสียงร้องของนักร้องที่ร้องเพลงช้าก็เพราะ เพลงเศร้าก็คมบาดใจ เพลงสบายๆ ก็ลงตัว องค์ประกอบดนตรีทั้งหมดต่างร่วมกันหล่อหลอมให้เพลงแต่ละเพลงของ Vitamin D from The Sun กลายเป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวชัดเจนมากๆ เพราะวัตถุดิบส่วนหนึ่งของการทำเพลงออกมาดีขนาดนี้ เราคิดว่า น้องๆ ของเราคงทำเพลงด้วยความสุข ติดตามข่าวสารและเพลงใหม่ๆ ของพวกเขา ได้ที่แฟนเพจ Vitamin D from The Sun
Call of Duty: Modern Warfare | Where do we draw the line on this?
เรื่อง: วรัญชิต แสนใจวุฒิ
ความเชื่อที่ว่า ความรุนแรงจากเกมนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในชีวิตจริง ยังคงเป็นความเชื่อที่ฝังอยู่ในความคิดของคนทั่วไป แต่ความเชื่อนี้เป็นจริงแค่ไหน ยังคงเป็นคำถามอยู่ แม้จะมีงานศึกษาหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า คนที่เล่นเกมรุนแรงมีความก้าวร้าว หลังจากเล่นเกมชั่วระยะหนึ่ง แต่ยังไม่พบว่ามันนำไปสู่การกระทำที่รุนแรง มีวิดีโอเกมหลายเกมจากหลากหลายผู้พัฒนาทีนำเสนอถึงปัญหาต่างในสังคมต่าๆง อีกทั้งยังทำให้เราสามารถเข้าใจได้ถึงบทบาทอื่นๆที่สะท้อนโลกแห่งความเป็นจริง เป็นพลังของวิดีโอเกม ที่ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ความบันเทิงแขนงหนึ่ง แต่ก็มีส่วนสำคัญที่หากเราจะเปิดใจรับสารที่ผู้พัฒนาต้องการจะสื่อออกมาผ่านผลงานที่ต่างต้องการที่จะเล่าเรื่องเพื่อให้ผู้เล่นได้รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างด้วยตัวเอง Call of Duty : Modern Warfare (2019) นั้นคือเกมจำลองการทหาร ที่ถูกนำมาตีความใหม่และสื่อสารประเด็น ‘ฉลาด’ อย่างแหลมคม ทีมงานผู้สร้างใช้เวลามากกว่าหนึ่งปี ในการสอบถามหรือศึกษาด้านกองทัพ, วัฒนธรรม กับปรึกษานักข่าวที่เคยลงพื้นที่สงครามของจริงมาก่อน เพื่อสร้างเกมให้มีการนำเสนอสงครามความขัดแย้งมีความเที่ยงตรงมากที่สุด ความสมจริงสมจังที่มากขึ้นไม่ใช่เพียงแค่สร้างภาพจำแบบซูเปอร์ฮีโร่แก่ผู้เล่น และในขณะที่เกมยิงทางการทหารนั้นมักที่จะเต็มไปด้วยความรุนแรงโดยเนื้อแท้ เกมนี้ยังตั้งคำถามต่อเกมเดินยิง และตั้งคำถามต่อเราในฐานะคนเล่นว่า เราชอบเล่นเกมแนวนี้เพราะอะไรกันแน่? ด้วยการนำเสนอที่สมจริงและสนุกบวกกับการเล่าเรื่องที่เป็น “โลกสีเทา” อันมีเนื้อหาลึกซึ้ง ซึ่งนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครที่ได้ถูกโยนเข้าไปในความขัดแย้ง และพวกเขาต้องหาทางแก้ไขมันให้ได้ มันก็เหมือนกับรูปแบบความบันเทิงตัวอื่น ๆ ที่ได้มอบอารมณ์และแสดงความรู้สึกของมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ Modern Warfare ไม่ได้เป็นเกมที่มีเนื้อหาชวนหดหู่ หรือสิ้นหวัง ซึ่งเราขอเรียกมันว่า “ความสนุกแบบซีเรียส” แล้วกัน โดยในเกมจะมีภารกิจหนึ่ง มันจะเป็นฉากที่เราจะได้เห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นผ่านมุมมองของหน่วย SAS ของอังกฤษในกรุงลอนดอนนอกเขตจัตุรัสพิคคาดิลลี่ ที่ได้เกิดเหตุการณ์คาร์บอมบ์ขึ้นบนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน หน่วยข่าวกรองการทหารได้มีการตรวจพบผู้ต้องสงสัยในบริเวณใกล้เคียงที่เกิดเหตุ หน่วย SAS ได้ส่งทีมลอบเร้นเข้ายังอพาร์ตเมนท์แห่งนั้นผ่านตรอกซอยที่อยู่ด้านหลังที่ปกคลุมไปด้วยความมืดจนทำให้เหล่าทหารสมาชิกทีม SAS จำต้องใช้กล้องมองกลางคืนในการสอดส่องหาเส้นทาง ซึ่งมันเหมือนกับฉากที่เราได้เห็นในภาพยนตร์อย่างเรื่อง Zero Dark Thirty เราจะได้เข้าไปยังห้องครัวและทำการยิงสองผู้ต้องสงสัยผู้ชายร่วงลงไปทั้งคู่ และผู้หญิงอีกหนึ่งคน แล้วค่อยๆคืบคลานขึ้นไปชั้นสองและเข้าไปยังห้องห้องหนึ่ง โดยมีชายคนหนึ่งได้จับเอาผู้หญิงไว้เป็นตัวประกัน เรายิงชายคนนั้นทิ้ง แต่แทนที่หญิงสาวคนนั้นจะขอบคุณเราและเพื่อนร่วมทีม แต่เธอกลับเลือกที่หยิบปืนไรเฟิลที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาและเล็งมาหาเราและสมาชิกในหน่วย ก่อนที่เราจะปลิดชีพเธอทิ้ง เหล่าผู้ต้องสงสัยที่เหลือยังคงแอบซ่อนอยู่ตามเงามืด เราและเหล่าทีม SAS ไล่กำจัดเป้าหมายในแต่ละชั้นไปเรื่อยๆ มันมีเสียงของเด็กทารกที่ร้องไห้อยู่ในเปล มีอีกหนึ่งผู้ต้องสงสัยแอบอยู่ใต้เตียง แต่ดันเผยให้เห็นลำกล้องของกระบอกปืนให้เราได้เห็น สาดกระสุนทะลุเตียงนอนและผู้ต้องสงสัยก็ตายคาใต้เตียง เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสุดท้าย ณ ห้องใต้หลังคา เราได้พบกับหญิงสาวที่ไม่ได้ติดอาวุธ แต่ทันทีเธอเคลื่อนไหว เราและตัวละครเอกก็ลั่นไกปืนใส่แทบจะทันที เพราะเธอ “กำลังจะจุดระเบิดตัวเอง” นั่นคือหนึ่งในสิ่งที่กัปตันไพรซ์ตัวเอกของเรื่องได้ได้พูดขึ้นมา จากเนื้อเรื่องที่กล่าวไปข้างบนนี้มันทำให้เราที่ได้สวมบทบาทเป็นหน่วย SAS อาจจะรู้สึกเต็มไปด้วยความองอาจ เก่ง เด็ดเดี่ยว ไฮเทค กล้าหาญ ที่สามารถช่วยปลิดชีพผู้ก่อการร้าย ได้อย่างเรียบร้อย นั้นตั้งคำถามว่า เราจำเป็นต้องถามคำถาม และก็ไม่ทำการจับกุมใดๆ “คน” ที่เราได้ทำการสังหารไป ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง มันเต็มไปด้วยความรุนแรงอันน่าหวาดหวั่น มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเงียบงัน มีความจริงแท้ แต่กระนั้นมันก็เต็มความคับค้องข้องใจ มันเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในเกมยิ่งมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่ดูเหมือนว่าผู้เล่นนั้นอาจจะเป็นคนฆ่าประชาชนทั่วไปที่เราพบเห็นได้ในทุกๆ วัน ฉากเหล่านี้ชัดเจน และสะเทือนใจ ว่ามันเป็นการฆ่าที่ไร้เหตุผล ไร้มนุษยธรรม และไม่มีความชัดเจนด้วยซ้ำว่าเป้าหมายอยู่ไหน “คือใคร” แม้จะต้องเสี่ยงฆ่าเด็กและผู้หญิงไปบ้างก็ตาม ผู้สร้างอาจจะจงใจไม่ตัดสินที่จะนำเสนออะไรให้ชัดเจน หรือขีดคั่นทางศีลธรรมหรือความชอบธรรมให้โน้มเอียงไปทางใด ทำให้การตีความก็เป็นไปตามบริบทของผู้เล่นอย่างหลากหลายมาก ความจริงโดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าผู้สร้างต้องการสื่อให้เราเห็นว่า การไล่ล่าศัตรูของชาติที่ไม่มีเหตุผล ไร้ตรรกะหรือความชอบธรรมใดๆ อคติที่อยู่เหนือมนุษยธรรม ความชอบธรรมในการทรมานมนุษย์ และถึงที่สุดการตัดสินใจถล่มบ้านใครคนหนึ่งเพื่อหมายจะจัดการศัตรู ก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่ามันใช่ “เป้าหมาย” หรือไม่ เพียงแค่สงสัยก็สังหารไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าใช่ “เป้าหมาย”หรือไม่ นับเป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออกกันเลยทีเดียว พร้อมให้เหตุผลเพราะผลลัพธ์ของคือความถูกต้องที่ได้ปกป้องโลกจากคนชั่ว ลงปักใจเชื่อว่าเรากำลังทำเพื่อ ‘ผลลัพธ์ที่ดี’ หรือ ‘เป้าหมายที่สูงส่ง’ แล้ว เราก็พร้อมจะโยนมาตรวัดทางศีลธรรมทั้งหลายออกนอกหน้าต่าง ระหว่างที่ยอมแปดเปื้อนอย่างที่กัปตันไพรซ์ได้บอกกับผู้เล่นผ่านฉากคัทซีนหนึ่งในเกมว่า “We get dirty and the world stays clean.That’s the mission.” พวกเราจะแปดเปื้อนไปด้วยมลทิน แต่โลกใบนี้จะยังคงสะอาด นี่คือภารกิจ
14 ตุลา: อรุณทอง-วิปโยค
เรื่อง: ปิยวัฒน์ แสงเงินชัย
เป็นที่ทราบกันดีว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เป็นผลเนื่องมาจากการบริหารบ้านเมืองที่ล้มเหลว และการคอรัปชั่นในระบบ “สฤษดิ์ ถนอม ประภาส” ทำให้ประชนนับแสนออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านอำนาจเผด็จการของจอมพล ถนอม ในขณะนั้น ผลลัพธ์ท้ายสุดประชาชนก็สามารถกำชัยชนะเหนือเผด็จการ ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย หรือเรียกว่า “ยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพ” ก่อให้เกิดกลุ่มคนที่ถูกขนานนามในภายหลังว่า “วีรชน 14 ตุลา” แต่ทั้งนั้น ความรุนแรงที่เกิดจากคนในชาติด้วยกันนั้น ก็ทำให้เหตุการณ์ 14 ตุลา ถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า “วันมหาวิปโยค” และ 3 ปีให้หลัง ยุคฟ้าสีทองก็สิ้นสุดลง และนำไปสู่อีกเหตุการณ์ที่เป็นบาดแผลลึกลงไปในประวัติศาสตร์ไทย ที่รู้จักกัน ในอีกชื่อว่า “6 ตุลา” “everythings come with a price” เพราะทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย และชีวิตคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้มันมา และพยายามรักษามันไว้ เรื่องตลกร้ายก็คือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่จุดประกายประชาธิปไตยให้ประเทศใกล้เคียง อย่างเกาหลีใต้ และในอีกหลายๆประเทศในเมื่ออดีต แต่พอตัดภาพมาปัจจุบัน เรามาไกลเสียจนไม่เหลือเค้าเสือตัวที่ 5 เสียแล้วด้วยซ้ำ 14 ตุลา คือจุดเริ่มที่ต้องการ “การสานต่อ” ถึงแม้จะถูกทิ้งทวนไว้เวลาจะผ่านมาเกือบครึ่งศตวรรษ และในยุคนี้ที่คนต้องการเติบโตใช้ชีวิตนั้นต้องการ “แผนอนาคต” มากกว่า “แผนเกษียณ” ถ้าหากมันจะถูกสานต่อ มันก็มี“ราคา”ที่ต้องจ่ายสำหรับครั้งนี้ เช่นที่ผ่านมา Believe in something, even if it means sacrificing everything จงเชื่อในบางสิ่ง แม้มันจะหมายถึงการแลกด้วยทุกสิ่ง
|